วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นายนิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา)


รองเท้าผ้าใบ กับใจถึงๆ
ประวัติ ทนายนกเขา

นิติธร ล้ำเหลือ (เกิด พ.ศ. 2508--ชื่อเล่น: นกเขา) เป็นทนายความที่รับว่าความคดีเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ปัจจุบันเป็นกรรมการฝ่ายสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ

นิติธร ล้ำเหลือ มีชื่อเล่นว่า นกเขา (เขา) จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตั้งสำนักงานกฎหมาย KAT มีชื่อเสียงจากคดีฟ้องร้องต่อศาลปกครอง คดีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย คดีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีเสนอปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกขัดต่อรัฐธรรมนูญ และคดีการเมือง เช่น คดีนายยงยุทธ ติยะไพรัชทุจริตการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 คดีการเลือกตั้ง 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นโมฆะ

นอกจากเขาจะเป็นทนายมือดีที่ทุ่มเททำคดีเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ถูกรังแกแล้ว ‘นิติธร ล้ำเหลือ’ ยังมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้คดีที่เกี่ยวกับการปกป้องและทวงคืนสมบัติชาติ ไม่ว่าจะเป็นการยับยั้งการแปรรูป กฟผ. ,คดีแปรรูป ปตท. ตลอดจน‘คดีเขาพระวิหาร’ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินกรณีที่ ‘นพดล ปัทมะ’ รัฐมนตรีขายชาติ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเขากำลังเดินหน้าฟันคดีอาญากับนภดลและ ครม.ทั้งคณะ และล่าสุดคดี ‘ยุทธ ใบแดง’ ที่เขาอาสาเข้าไปช่วย ‘ไชยวัฒ์ ฉางข้าวคำ’พยานปากเอกสู้คดีจนชนะ ซึ่งผลของคดีนี้อาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน

แม้จะถูกคุกคาม ขู่ฆ่า ดักยิง แต่ทนายผู้นี้ไม่เคยสะทกสะท้าน แต่กลับเดินหน้าท้าชน พร้อมกับคำท้าทายที่เกิดขึ้นใจใจว่า “เดี๋ยวมึงเจอกู...”

ชื่อของทนายหนุ่มมาดเข้มผู้นี้ เริ่มถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางหลังจากที่ศาลปกครองมีคำสั่งยับยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) ตามที่ ‘รสนา โตสิตระกูล’ ร้องขอ ซึ่งทนายมือดีที่เขียนคำฟ้องก็คือ ‘นิติธร ล้ำเหลือ’ วันนี้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ทนายแผ่นดิน’ ที่มีบทบาทในการทวงคืนสมบัติชาติหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งคดี‘เขาพระวิหาร’ ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินกรณีที่ ‘นพดล ปัทมะ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

ขณะที่นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลแห่งเชียงรายอย่าง‘ยงยุทธ ติยะไพรัช’ ก็ต้องจดจำชื่อของ‘ทนายนิติธร’ ไปอีกนาน เพราะเขาคือผู้เดินหน้าทำคดีจนกระทั่งศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของนายยงยุทธเป็นเวลา 5 ปี เพราะมีหลักฐานชี้ชัดว่ามีการซื้อเสียงตามที่ ‘กำนันไชยวัฒน์ ฉางข้าวคำ’ พยานปากเอกระบุจริง

แต่บางคนอาจไม่ทราบว่าทนายวัย 43 ปี ดีกรีปริญญาโทผู้นี้มีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานภาครัฐมานานกว่า 20 ปี อะไรที่ทำให้เขาทุ่มเททำงานเพื่อสังคมอย่างไม่เห็นแก่ความยากลำบาก ณ วันนี้ ‘นิติธร ล้ำเหลือ’ ได้เปิดใจกับ ‘MANAGER LITE’ อย่างหมดเปลือก

เดินป่า 4 วัน ไปทำคดีให้ชาวเขา

นิติธรย้อนถึงชีวิตในช่วงวัยเยาว์ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินหน้าทำคดีเพื่อช่วยเหลือประชาชน ว่า จากประสบการณ์ในวัยเด็กสอนให้เขารู้ว่าชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมจากกระบวนการทางกฎหมายได้ ตอนเด็กๆเขารู้สึกเจ็บใจแทนคุณแม่ที่ถูกเพื่อนสนิทโกงเงินที่ยืมไปทั้งๆที่มีสัญญาเงินกู้ ขณะที่ตัวเขาเองและเพื่อนๆก็ถูกตำรวจตรวจค้นเพียงเพราะนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสาวัยรุ่น อีกทั้งตำรวจยังแสดงกิริยาหยาบคาย และตบศีรษะพวกเขาเพื่อความสะใจอีกด้วย หลังจบมัธยมปลายนิติธรจึงตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และด้วยประสบการณ์จากการหาข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนต่างๆในช่วงที่เขาทำโครงการมหกรรมภาพถ่าย เมื่อครั้งเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัย ทำให้องค์กรพัฒนาเอกชนที่ใช้ชื่อว่า‘คณะกรรมการยุติธรรมและสันติ’รับเขาเข้าทำงานในเป็นฝ่ายกฎหมายก่อนที่เขาจะเรียนจบปริญญาตรีเสียด้วยซ้ำ

และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเลือกเดินในเส้นทาง ‘ทนายสิทธิมนุษยชน’ โดยในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน นิติธรได้ออกให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่เป็นธรรมทางกฎหมาย ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้อำนาจของข้าราชการและกลุ่มผู้อิทธิพลในพื้นที่ หลังจากที่มั่นใจว่าชาวบ้านที่เขาเข้าไปให้ความรู้ด้านกฎหมายสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว นิติธรจึงย้ายไปทำงานกับ ‘กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม’ หรือ ปศส. องค์กรพัฒนาเอกชนที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ถูกซ้อมเพื่อให้รับสารภาพ การวิสามัญฆาตกรรม การทารุณกรรมกับนักโทษในเรือนจำ

“ทุกคดีนี่ยากลำบากทั้งนั้น อย่างตอนไปทำคดีที่กะเหรี่ยงฤาษีถูกกล่าวหาว่าบุกถล่มสังหาร ตชด.(ตำรวจตระเวนชายแดน) ที่อุ้มผาง จ.ตาก ซึ่งเป็นข่าวใหญ่มากในช่วงปี 2536 มีการปล่อยข่าวว่าพวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์เก่า เราต้องเข้าไปทางเขตทุ่งใหญ่นเรศวร แต่รถมาได้แค่เหมืองคิตตี้ จากนั้นก็ต้องเดินเท้าเข้าไป เดินกัน 3- 4 วัน เจอทั้งทากทั้งยุง กว่าจะเข้าพื้นที่ได้ ก็ไปพบความจริงว่ามีการใช้อำนาจรังแกกะเหรี่ยงซึ่งขัดผลประโยชน์ของผู้ใหญ่บ้าน มีการปล่อยข่าวข่มขู่ว่า ตชด.กับผู้บ้านใหญ่จะเข้าไปจับกุมและยิงทิ้งให้หมด กะเหรี่ยงกลุ่มนี้ก็เลยรวมตัวไปเจรจากับ ตชด.แต่ตชด.นึกว่าจะเข้ามาทำร้ายเลยกราดยิงกะเหรี่ยงตายไป 6 คน กะเหรี่ยงซึ่งมีมากกว่าเลยฆ่า ตชด.ที่อยู่ในฐานตายหมด จากนั้นกะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้านก็ถูกจับกุมหมด สู้คดีกันอยู่ 4 ปีกว่า ชาวบ้านถึงได้รับความเป็นธรรม

หรืออย่างคดีเพิกถอนสัญชาติของชาวบ้าน 1,243 คนใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ สู้กันหลายปี คดีนี้ผมหมดไปเป็นล้าน เพราะต้องใช้ทีมงานเยอะ ที่ทำได้เพราะตอนหลังผมมาเปิดสำนักงานทนายของตัวเอง เราทำคดีให้ชาวบ้านฟรีโดยเอารายได้ตรงนี้เข้าไปช่วย แต่ก่อนหน้านั้นผมมีแค่เงินเดือน 6,000 บาท เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปเปิดร้านขายเสื้อที่จตุจักรเพื่อเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำคดี เพราะชาวบ้านที่มาหาเราก็เป็นคนจนทั้งนั้น บางทีไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีค่ารถกลับบ้าน เราก็สงสาร ก็ควักให้ไป แล้วพวกนี้มันเบิกไม่ได้เพราะไม่มีใบเสร็จ (หัวเราะ)
แต่ละคดีก็เหนื่อยสุดๆ เมื่อก่อนผมไว้ผมรองทรงนะ ผมหนามาก (หัวเราะ) แต่ที่มาทำผมสกินเฮดเพราะช่วงที่ทำคดีให้ชาวบ้านผมต้องเดินทางบ่อย เดี๋ยวต้องเข้าไปหาชาวบ้านที่อยู่ในป่าในเขา เดี๋ยวต้องขึ้นเบิกความในศาล เลยไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงไปหมด เวลาขึ้นศาลมันก็ดูไม่สุภาพ ก็เลยตัดสกินเฮดไปเสียเลยหมดเรื่องหมดราว แล้วก็ติดมาจนถึงทุกวันนี้” นิติธร เล่าถึงที่มาของผมทรงสกินเฮด

ทุ่มเททำคดี ทวงคืนสมบัติชาติ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาทำคดีที่เกี่ยวกับการทวงคืนสมบัติชาติหลายต่อหลายคดีนั้น นิติธร ขยายความให้ฟังว่า สืบเนื่องจากเขามีความรู้จักคุ้นเคยกับเอ็นจีโอกลุ่มต่างๆเป็นอย่างดี และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘รสนา โตสิตระกูล’ ซึ่งกำลังเดินหน้ายับยั้งการแปรรูป กฟผ. เขาจึงถูกขอให้มาช่วยเขียนคำฟ้อง และด้วยฝีมือของทนายระดับพระกาฬ ศาลปกครองจึงมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ทำให้รัฐวิสาหกิจชั้นดีแห่งนี้ยังคงเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ถูกผ่องถ่ายไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนเช่นเดียวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย(ปตท.) จากนั้นไม่ว่าจะมีคดีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสมบัติชาติ นิติธรก็จะถูกมอบหมายให้เข้ามาทำคดีด้วยทุกครั้ง รวมถึงคดี‘เขาพระวิหาร’ด้วย

“คดี กฟผ.นี่ เริ่มแรกเลยใส(สุริยะใส กตะศิลา)มันโทร.มา ว่าพี่เขาอยู่ไหน คือผมชื่อเล่นชื่อ ‘นกเขา’ ใสเขาบอกว่าพี่รสนาจะยื่นฟ้องเรื่อง กฟผ.แต่สำนวนฟ้องไม่มีน้ำหนักพอ ศาลไม่รับฟ้อง ให้ผมช่วยเขียนคำฟ้องให้หน่อย เรื่องด่วนมากกำลังจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์วัน สองวันนี้แล้ว ผมก็ตกลง ผมกับทีมทนายก็ไปนั่งค้นกฎหมายกัน ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน เสร็จเอาตอนบ่ายโมงกว่าของอีกวัน ตอนบ่ายก็ไปยื่นฟ้องปรากฏว่าเราชนะคดี ตั้งแต่นั้นมาพอใครจะยื่นฟ้องอะไรที่มันเกี่ยวกับทรัพย์สินของประเทศชาติเขาก็จะหมายตามาที่ผมละ แล้วมันกลายเป็นวัฒนธรรมนะว่าถ้าเรื่องด่วนนี่ให้ส่งมาที่ผม กลายเป็นทนายคดี 24 ชั่วโมง (หัวเราะร่วน) อาจเป็นเพราะเรามีความถนัดในเรื่องประเด็น มองกฎหมายชัด และเขียนสำนวนเร็ว

อย่างคดีเขาพระวิหารเขียนคำฟ้องวันเสาร์ที่ 21 มิถุนาฯ ยื่นฟ้องวันอังคารที่ 24 คือเริ่มแรกมันเกิดจากที่เราเห็นคำแถลงการณ์ร่วมฯที่คุณนพดลเอามาแจกให้สื่อซึ่งมันชี้ชัดว่าไทยเสียดินแดนแน่ ผมก็เข้าไปที่หลังเวทีพันธมิตรฯ ไปหาพี่สุวัตร์(สุวัตร์ อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ) ถามว่าพี่ผมจะฟ้องเรื่องเขาพระวิหารนะ พี่จะเอาด้วยไหม พี่สุวัตร์ก็บอกเฮ้ย...เขา พี่พอมีข้อมูล แต่เขาเขียนคำฟ้องนะ ผมก็โอเค แล้วก็ติดต่อไปที่พี่นคร(นคร ชมพูชาติ) ที่สภาทนายความ พี่คำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะ ส.ว. สุริยะใส ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน และทนายอีกหลายคนมาร่วมยื่นฟ้องด้วย จนในที่สุดศาลปกครองก็มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว

แต่ที่ผ่านมา ช่วงหลังๆนี่พวกพี่ๆมักจะให้ช่วยทำคดีการเมืองค่อนข้างเยอะ อย่างคดีที่ร้องคัดค้านให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.2549 เป็นโมฆะ ล่าสุดก็เป็นคดีใบแดงของคุณยงยุทธ คือกำนันไชยวัฒน์ (ไชยวัฒน์ ฉางข้าวคำ)เข้าไปร้องให้สภาทนายความช่วย เขาก็ให้ผมในฐานะที่เป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ เข้าไปทำคดี ผมถามกำนันไชยวัฒน์ก่อนเลยว่าพี่สู้หรือเปล่า ถ้าฟ้องต้องเจออำนาจมืดเยอะนะ แต่ถ้าพี่สู้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะยืนอยู่ข้างพี่ เขาก็ยืนยันว่าสู้ ก็เลยลุยกัน”

ไม่หวั่นต่อการคุกคามข่มขู่

ปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละคดีที่นิติธรเข้าไปจับนั้นล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และผลจากการทำคดีก็มักจะถูกกลุ่มคนเหล่านี้ตอบโต้กลับมาเสมอ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของการกลั่นแกล้ง ข่มขู่ คุกคาม และบางครั้งถึงขั้นหมายเอาชีวิตเลยทีเดียว

“ที่ผ่านมาเราก็โดนหนักเหมือนกัน โดนข่มขู่ ขับรถไล่บี้ โดนไล่ยิง คือก่อนมาทำคดีเนี่ยผมทำใจแล้วว่ายังไงเราก็ต้องโดนอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนไม่กลัวใคร จะเผชิญหน้ากันแบบไหนก็ได้ ถ้ามาขู่เราก็เฉย ผมจะบอกไปเลยว่า อย่าขู่ ถ้าจะทำอะไรก็ทำเลย แต่อย่าให้ผมทำคุณบ้างนะ อย่างเมื่อปี 2533 ไปทำเรื่องที่ได้รับร้องเรียนว่ามีผู้คุมที่ จ.ยะลา นำผู้ต้องขังหญิงไปเร่ขายบริการ ตอนขับรถกลับก็ถูกไล่ยิง ตอนไปทำคดีวิสามัญฆาตกรรมที่กำแพงเพชรก็มีคนขับรถตามมาจะทำร้ายแต่ก็รอดมาได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งโทร.มาขู่ที่บ้านผม ที่พระประแดง ตอนนั้นกำลังทำคดีตากใบ พอดีคุณพ่อผมรับโทรศัพท์ เขาก็ถามหาผม พ่อบอกไม่อยู่ ทางนั้นก็บอกว่าไปบอกลูกชายด้วยว่าวีรบุรุษเนี่ยเขาเป็นกันตอนตายนะ ที่บ้านเคยโดนระเบิดไหม แต่พ่อผมไม่กลัว เขาก็ตอบกลับไปว่า ไม่ได้เจอหน้าลูกมานานแล้ว คุณเอาเบอร์มือถือไปในนะ แล้วฝากบอกลูกผมด้วยว่าให้มันกลับบ้านมั่ง(หัวเราะขำ)

เวลาโดนขู่เราก็จะบอกไปว่า เฮ้ย..นี่ผมไม่ได้ทำเรื่องส่วนตัวนะ ถ้าเจอหน้าคนพวกนี้ผมก็จะบอกเขาเลยว่าถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณก็ไม่มีทางมาเจอกับผมอยู่แล้ว แต่ที่คุณมาเจอผมก็เป็นเพราะการกระทำของคุณเอง แล้วทุกคดีที่ผมทำเนี่ยการันตีได้เลยว่าคุณโดนแน่ แล้วเดี๋ยวนี้ผมเป็นโรคจิตนะ เวลาเห็นใครโกงกินสมบัติชาติเนี่ย ผมจะรู้สึกว่า ...เดี๋ยวมึงเจอกู! อย่างคุณนพดลกับ ครม.ชุดนี้ที่มีมติเรื่องเขาพระวิหาร จนทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเนี่ย ผมต้องเอาคนพวกนี้เข้าคุกให้ได้ ” นิติธรกล่าวด้วยแววตาที่มุ่งมั่น

ในบางแง่มุม

ใครจะเชื่อว่าเห็นบู๊ๆอย่างนี้ แต่ในช่วงที่ว่างจากการทำคดีนิติธรจะชักชวนน้องๆในทีมทนายมาตั้งวงบรรเลงดนตรี แม้เนื้อที่ในบริษัทสำนักงานทนาย KAT ที่เขาก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงจะไม่กว้างขวางนัก แต่นิติธรก็สามารถสนุกสนานกับการบรรเลงดนตรีหลากหลายชนิด ซึ่งเครื่องดนตรีที่เขาถนัดที่สุดเห็นจะเป็น กีต้าร์โปร่ง และเมาท์ออแกน

“ ผมเป็นคนบ้างาน ทำคดีอะไรแล้วจะกัดไม่ปล่อย จนป่านนี้เลยยังหาเมียไม่ได้เลย” นิติธร บอกพร้อมกับหัวเราะร่วน

แต่หากถามว่าเขาได้อะไรจากการทุ่มเททำคดีเพื่อช่วยเหลือประชาชน นิติธรคงบอกได้แต่เพียงว่ามันคือความสุขใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของชาวบ้านที่ได้รับความเป็นธรรมหลังจากการต่อสู้อันยาวนาน ขณะที่การเดินหน้าท้าชนกับนักการเมืองที่กำลังเขมือบสมบัติชาติ ก็คือสิ่งที่เขามุ่งมั่นกับการทำหน้าที่ในฐานะ‘คนไทย’ที่ลุกขึ้นมาปกป้องสมบัติของแผ่นดิน
ที่มา wikipedia และhttp://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000082425

บันทึกนี้เขียนโดย วิณัฏฐิกา ศรีประเสริฐ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว


ไม่มีความคิดเห็น: