วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (อดีตเลขาธิการอาเซียน)



นาง ฮิลลารี ถาม ดร. สุรินทร์ว่า เห็นอาเซียนกำหนดกรอบเวลาในการรวมตัวกันมายาวนาน เมื่อไหร่จึงจะเกิดขึ้นได้จริงเสียที ...
::: ดร. สุรินทร์จึงถามว่า โทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้ประพันธ์สารนิพนธ์ประกาศเอกราชของอเมริกา ได้เขียนเอาไว้ว่า All men are created equal คนทุกคนเกิดมาโดยเท่าเทียม .... แต่ที่สุดแล้ว กี่ปีกว่าที่ อเมริกา จะให้สิทธิในการโวตแก่ ผู้หญิง หลังจากนั้นอีกกี่ปีอเมริกาจึงจะเลิกทาสและคนผิวสีจะมีโอกาสเทียบเท่ากับคนขาว หลังจากนั้นกี่ปีที่คนผิวสีไม่ได้โดนแบ่งแยกกีดกัน


ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 - ) อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกิดวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เป็นนักการเมืองชาวไทยมุสลิม และเคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

ดร.สุรินทร์ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งมีวาระ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 จนสิ้นสุดวาระเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 โดยนั่งทำงานที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ โดยคนไทยคนแรกคืออดีตเอกอัครราชทูตและอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แผน วรรณเมธี (ปัจจุบันเป็นเลขาธิการสภากาชาดไทย) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2532-2536

ประวัติ

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช มีบิดาเป็นครูมุสลิม ศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช และ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแคลร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2515 ปริญญาโท มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2518) และปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2525) เริ่มอาชีพนักวิชาการในตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2518-2529

การเมือง

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เข้าสู่แวดวงการเมืองในปี พ.ศ. 2529 โดยได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.นครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรติดต่อกัน 7 สมัย เคยเป็นเลขานุการของนายชวน หลีกภัย ขณะที่นายชวนดำรงตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2529-2531) ต่อมาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2535-2538[1] และเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2540-2544 ต่อมา ดร.สุรินทร์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน โดยเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 หลังจากที่ได้มีการส่งชื่อไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2550 และได้รับการรับรองจากชาติสมาชิกอย่างเป็นทางการในที่ประชุมผู้นำอาเซียน ณ สิงคโปร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550[2]

สรุปการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ดร.สุรินทร์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, 2548
เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายชวน หลีกภัย) ปี พ.ศ. 2529-2531
ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2531-2534
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2535-2538
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2540-2544



เปิดพิมพ์เขียว 9 แนวทางปฏิรูปประเทศไทยโดย ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ

1) ปฏิรูปการเมืองหลักการสำคัญข้อแรกของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือ อำนาจทางการเมืองที่ได้มาจากประชาชนต้องมีขอบเขตจำกัด โดยกฎหมาย ตามกฎกติกา และค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติอันทรงคุณค่าของสังคม และต้องตระหนักว่า “เสียงข้างมากไม่ใช่ ”ประทานบัตร” หรือใบอณุญาต ที่ให้อำนาจผู้ถือสิทธิ์จัดการกับประเทศตามอำเภอใจ ไม่มีขอบเขต ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง หลักนิติธรรม ค่านิยมของสังคมใดๆ ทั้งสิ้นสร้างเสริมกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลย์อำนาจฝ่ายต่างๆ ที่อาจจะเหลื่อมล้ำเกินเลยขอบเขตของกรอบกฏหมาย ละเมิดสิทธิฝ่ายอื่น เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องครอบครัว และกำหนดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ และกลไกดังกล่าวจะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีการอ้างสิทธิจากเสียงข้างมากเข้ามาก้าวก่าย จนเสียความเป็นกลาง ขาดอิสระ และไร้ประสิทธิภาพ

2) ปฏิรูประบบตรวจสอบอันเข้มข้นจากภาคประชาชน เพื่อต่อต้านคอรัปชั่น การฉ้อราษฏร์บังหลวงในระยะเวลาที่ผ่านมาการบริหารจัดการโอกาสและทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ทั้งในรูปของงบประมาณแผ่นดิน ทรัพยากรธรรมชาติ กิจการรัฐวิสาหกิจ ได้ถูกครอบงำ ตักตวงผลประโยชน์ทุกรูปแบบ จนทำให้ผลประโยชน์สูงสุดไม่ตกเป็นของประเทศชาติและประชาชน ถ้าคิดเป็นมูลค่าเป็นตัวเงินเกิดการรั่วไหลกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปีนอกจากนั้นทรัพย์สินของรัฐ สมบัติของแผ่นดินต้องได้รับการปกป้อง แยกส่วนชัดเจนจัดการ จากทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ปะปนสับสนเป็นกงสีของตระกูล เครือญาติ และพรรคพวก มาตรการต่างๆ ที่ควรจะพิจารณาจัดตั้ง คือ- มีองค์กรตรวจสอบภาคประชาชน ให้ภาคประชาชนมีสิทธิ์ในการตรวจสอบ และฟ้องร้องดำเนินคดีได้- กำหนดให้มีบทลงโทษที่ชัดเจน มีกระบวนการกฏหมายให้มีการปฏิบัติอย่างรัดกุม ในการที่หน่วยงานรัฐไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร- คดีคอรัปชั่นไม่มีหมดอายุความ

3) ปฏิรูประบบราชการและกระจายอำนาจระบบราชการต้องปลอดจากการเมือง ข้าราชการมีศักดิ์ศรี เป็นอิสระ มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการภายในองค์กรของตนเองตามกรอบและกฎเกณฑ์โดยกฎหมายเฉพาะสำหรับแต่ละหน่วยงานที่ชัดเจน เพื่อมิให้เป็นกลไกเพื่อเพิ่มพูนแสวงหาและรักษาผลประโยชน์ของครอบครัว และพวกพ้อง เหมือนที่เป็นอยู่ตั้งแต่ในอดีตและรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันกลไกการปกครองของรัฐต้องมีการกระจายโอกาสให้ประชาชนและภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของชุมชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น ตลอดจนการใช้ และเข้าถึงซึ่งทรัพยากรในท้องถิ่นของตน โดยคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตของประชากรของประเทศร่วมกัน- เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด- ยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาค กระจายอำนาจราชการสู่ท้องถิ่น กำหนดให้หน่วยงานภายใต้สังกัดของมหาดไทย การศึกษา การเกษตร การพาณิชย์ การส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ อยู่ภายใต้อำนาจของท้องถิ่น- งบประมาณของแผ่นดินไม่น้อยกว่า 35% ให้อยู่ในการดูแลของรัฐบาลท้องถิ่นในทุกระดับ- กำหนดการกระจายอำนาจให้เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกรัฐบาลต้องดำเนินการ- ตำรวจสังกัดท้องถิ่น อยู่ภายใต้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง- ปฏิรูประบบราชการ ข้าราชการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ตอบโจทย์สังคมที่เปลี่ยนไป- ขจัดการการแทรงแซงของภาคการเมือง และระบบอุปถัมภ์- มีการจัดตั้งสภาประชาชนในทุกจังหวัดเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบหน่วยงานท้องถิ่น- เป็นภาคีกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านคอรัปชั่น เพื่อผูกพันประเทศไทยต้องมีระบบการตรวจสอบ ป้องกันที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น เช่น อนุสัญญา ต่อต้านคอรัปชั่นของ OECD ปี 2011 และ ข้อตกลง ASEAN Supreme Audit Institutions Assembly

4) ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส ให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจน บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยั่งยืนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแบบทั่วถึง และเป็นธรรม มีเป้าหมายขจัดความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน มีดัชนีบอกวัดความเหลื่อมล้ำที่แม่นยำ ไม่ให้เกิดสภาพการ “รวยกระจุก จนกระจาย” อีกต่อไป- สร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนระยะยาว- แก้ปัญหาการถือครองที่ดิน ให้มีที่ดินทำกินอย่างทั่วถึง ควบคู่ไปกับการจัดการกับที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์- ปรับโครงสร้างกระบวนการผลิต การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูป การตลาด และการขนส่ง สำหรับภาคเกษตร ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ และเกษตรผสมผสาน- ลงทุนระบบชลประทาน ทุกชุมชนต้องเข้าถึงแหล่งน้ำได้

5) ปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกันให้โอกาสทางการศึกษา พัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างทั่วถึงเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เคารพและให้เกียรติต่อกัน มีความปรองดองในหมู่ประชากรที่มีความหลากหลาย ด้วยความเสมอภาค ปราศจากการแบ่งแยก เลือกปฏิบัติ กีดกัน รังเกียจเดียดฉันท์ เนื่องด้วยความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนความเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน- สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษา เด็กยากจนต้องได้เข้าเรียนทุกคน ไม่มีใครตกหล่นจากระบบการศึกษา (No child left behind) เพื่อให้มีอัตราการเข้าศึกษา 100% จาก อนุบาล 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6- มีการจัดการอบรมสำหรับครู รวมทั้งปรับปรุงหลักสูตรการเรียนให้มีมาตรฐาน น่าสนใจต่อผู้เรียน- มีการวัดผลโรงเรียน ครู และกระบวนการสอน อย่างโปร่งใส รัดกุม ได้มาตรฐาน โดยผู้เชี่ยวชาญและกระบวนการที่ตรวจสอบได้ โดยใช้ประสิทธิผลของนักเรียนเป็นดัชนีชี้วัด

6) ปฏิรูประบบสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึง โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) และความมั่นคงมนุษย์ (Human Security)จัดเก็บภาษีอย่างทั่วถึงเป็นธรรม มุ่งเป็น สังคมสวัสดิการ ให้ทุกชีวิตดำรงอยู่อย่างเสมอภาค มีความมั่นคงบนพื้นฐานแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน – ทั้งชีวิตเราดูแล “จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน”- การดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ช่วงก่อนเข้าเรียน และในช่วงวัยเรียน ตลอดจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน- การขยายระบบประกันสังคมและบำนาญที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม อย่างทั่วถึง

7) เศรษฐกิจที่มีการแข่งขันอย่างโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค- บังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง- จัดตั้งองค์การคุ้มครองผู้บริโภคที่มีตัวแทนของภาคประชาชน และเป็นองค์กรที่เป็นอิสระนอกเหนือจากระบบราชการ

8) ปฏิรูปสื่อสารมวลชนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยสันติ มีสิทธิ์ในการได้รับและเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารของรัฐ จะต้องมีการคุ้มครอง ปกป้องอย่างจริงจัง ปราศจากการแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ และอิทธิพลทางการเมือง ต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ- สื่อมวลชนทุกแขนงต้องนำเสนอข่าวที่เท่าเทียมกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ภาคประชาชน- กำหนดมาตรฐานจริยธรรมของสื่อ มีองค์กรวิชาชีพเป็นเครื่องมือในการควบคุมจริยธรรมและจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน

9) ปฏิรูประบบยุติธรรมสิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างทั่วถึง มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างเท่าทียม ไม่ใช้กระบวนยุติธรรมเพื่อเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง และผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม ไม่มีสองมาตรฐาน- พิจารณาคดีในรูปแบบคณะอัยการ สำหรับคดีสำคัญ คดีที่มีความเกี่ยวกับสังคมส่วนรวม ไม่รวบอำนาจไว้ที่อัยการสูงสุด- มีตัวแทนภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบอัยการ เช่น อยู่ใน คณะกรรมการอัยการที่แต่งตั้งอัยการ หรือคัดเลือกองค์คณะอัยการในคดีที่สำคัญของแต่ท้องที่ เช่นคดีการเมืองในจังหวัด คดีการเมือง คดีผู้มีอิทธิพล- ป้องกันการล้มคดี ในระดับตำรวจในคดีสำคัญให้อัยการร่วมในการสืบสวน หาพยานและหลักฐานด้วย


ดร.สุรินทร์ ถึงคนเสื้อแดงและคนเกลียด ปชป

    บังหลีม(ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ)ให้สัมภาษณ์ น่าคิดมากๆ จากคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ฝากถึง คนเสื้อแดงที่ยังรักเมืองไทย / คนเกลียดทักษิณแต่ก็เกลียดประชาธิปัตย์ ทุกคน อยากถามเพื่อน ๆ เสื้อแดงจริง ๆ ว่า รับสภาพรัฐบาลนี้กันเข้าไปได้ยังไง ณ จุดนี้ ต่อให้เกลียดประชาธิปัตย์ยังไง แต่ก็น่าจะฉุกคิดบ้างได้แล้วว่าทักษิณ ได้ทำอะไรไปกับประเทศเราบ้าง คนเสื้อแดงจะมองไม่ออกเชียวหรือว่าสิ่งที่เพื่อไทยทำนั้น เลวร้ายกว่าสิ่งที่นักการเมืองยุคไหนทำมาทั้งหมด คนที่ออกมาประท้วง คนที่ราชดำเนินในตอนนี้ ไม่มีใครไม่รู้ว่าประชาธิปัตย์ไม่โกง ไม่มีใครคิดว่าสุเทพเป็นคนดีหมดจด ใคร ๆ ก็รู้ว่านักการเมืองมันโกงทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้ทักษิณโกงเกินไปหรือเปล่า ทักษิณล้ำเส้นของเส้นของเส้นที่ขีดไว้ 4-5 ทอด ไกลกว่ารัฐบาลไหน ๆ ที่เคยโกงกันมา สมัยก่อนจะโกงทีต้องหลบต้องซ่อน แต่เดี๋ยวนี้นอกจากจะไม่หลบแล้ว ยังโกงแบบเปิดเผยหน้าด้าน ๆ ด้วย "กูจะโกง ทำไม ใครจะทำอะไรกูได้" วินาทีนี้ ต่อให้ประชาธิปัตย์ หรือสุเทพเลวร้ายแค่ไหน ก็คงเทียบกันไม่ได้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยคลางแคลงใจว่าสุเทพจะมี Hidden Agenda หรือเล็งผลประโยชน์อื่น ๆ อีกรึเปล่า เพราะยี่ห้อประชาธิปัตย์บอกตรง ๆ ว่าก็ไม่ค่อยมั่นใจซักเท่าไหร่ แต่ยิ่งนานวันเข้า ก็เริ่มรู้สึกเห็นใจและเชื่อใจขึ้นทีละน้อย ไม่ใช่เพราะพูดจายาหอมสไตล์ประชาธิปัตย์ แต่เป็นการทุ่มสุดตัวชนิดที่เรียกว่าสุดซอย หรือแม้แต่การกล้าสวนกระแสพรรค แตกหักทางความคิดกับต้นสังกัดเดิม และสุดท้ายที่ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้นหากการปฏิรูปนี้เสร็จสิ้นลง อย่างหลังสุดนี้จะทำได้จริงรึเปล่ายังไม่รู้ แต่คิดว่าสุเทพคงไม่หน้าด้านเท่าจตุพร ณัฐวุฒิ อย่างแน่นอน อีกอย่างที่ผมสัมผัสได้แม้จะแผ่วเบามากและหวังไว้ในใจลึก ๆ ว่าจะเป็นจริงนั่นก็คือ การกลับใจ คนเราไม่ว่าจะขนาดไหน เมื่อยามแก่ชราลงถึงจุดหนึ่ง และโกงกินมาพอแล้ว เลวมาพอแล้ว ก็จะมี moment ที่อยากจะฝากอะไรซักอย่างหนึ่งที่ดี ไว้ให้คนรุ่นหลังได้พูดถึงต่อ ๆ ไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัสได้ในตัวของนักการเมืองอย่างทักษิณ เฉลิม บรรหาร เลยแม้แต่นิดเดียว ความรู้สึกนี้คิดว่าคงจะไม่ได้รู้สึกไปเอง เพราะไม่อย่างนั้นคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุลคงไม่ออกมาบอกให้พันธมิตรเข้าร่วมสังฆกรรมกับสุเทพอย่างแน่นอน เพราะสนธิเกลียดสุเทพน้อยกว่าทักษิณนิดเดียวจริง ๆ บางคนบอกว่า ไม่เอาทักษิณ แต่ก็ไม่เอาประชาธิปัตย์เหมือนกัน ผมอยากจะฝากบอกว่า ประชาธิปัตย์น่ะคุณจะปฏิเสธเมื่อไหร่ก็ได้ เลือกตั้งครั้งหน้าแค่ไม่ลงคะแนนให้ อภิสิทธิ์ก็เดินเข้าสภาไม่ได้แล้ว แต่ทักษิณน่ะต้องตอนนี้ เวลานี้เท่านั้น นี่เป็นเพียงเสี้ยวเวลาเดียวในช่วงประวัติศาสตร์ ถ้าผ่านจุดนี้ไปแล้ว มันไม่มีเวลามาปฏิเสธทักษิณอีกแล้ว เพราะทุกอย่างมันโดนกลืนกิน สูญสลายหายไปหมดแล้ว ใครที่ยังรักประเทศไทยน้อยกว่าทักษิณ ใครที่ยังเกลียดชังประชาธิปัตย์ ใครที่ยังไม่มั่นใจในตัวสุเทพ ออกมาเถอะครับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นแค่ชื่อตำแหน่งผู้นำการปฏิรูปเท่านั้น ณ เวลานี้เราไม่ได้ต้องการคนดีพร้อม เราไม่ได้ต้องการคนที่ใสสะอาดหมดจด เราต้องการแค่คนที่กล้าลุกขึ้นสู้ เราต้องการคนจุดประกายการปฏิรูปการเมือง เราต้องการกำจัดนักการเมืองชั่ว ๆ ที่สัตว์ ๆ แต่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสภา โดยที่ประชาชนคนอย่างเรา ๆ ไม่เคยทำอะไรมันได้เลย ในชั่วชีวิตของผม ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าโอกาสแบบนี้จะผ่านมาอีกทีเมื่อไหร่ โอกาสในการปฏิรูปการเมืองมันอยู่แค่เอื้อมตรงหน้านี้แล้ว สุเทพ เทือกสุบรรณ ก้าวไปไกลกว่าม๊อบไหน ๆ ที่เคยมีมาทั้งหมด โอกาสแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว It's now or never. ถ้าไม่รวมพลังกันตอนนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีการเมืองไทย ไม่มีอนาคต ไม่มีแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ให้คนเกลียดได้อีกต่อไป


Dr.SurinWoffordNominationLetter.pdf

Democracy Lessons on the Streets of Bangkok

By Surin Pitsuwan

Whether or not the massive protests against the government by the people all over the country, particularly on the streets of Bangkok, would lead to any meaningful changes in our political culture and system remain to be seen and evaluated by experts. One thing is quite clear, the marathon demonstration has brought about many beautiful literary works inspired by the largest political event in Thailand’s history. We can call them “streets poetry” ,“protest arts” or “music of grievances” they have become a new genre of popular art forms that sprang up quite spontaneously on the dusty concrete footpath and from the depths of emotions of participants, supporters and by-standers.

And powerful quotations from philosophers and thinkers of politics and democracy from ancient Greece to the genius of modern eras were invoked to justify their “right to rebel” against what they perceive to be an unjust government. Social media has been the best instrument to share with millions around the country and help galvanize the overwhelming support from the country’s agitated electorate.

The very first issue of grievance articulated day in and day out on the pavement of Rajadamneon Avenue is the arrogance of power. Hundreds of thousands of multitude from all walks of life and all corners of the country, armed only “with a pair of sport shoes and a pure heart,” converged for one and the same reason, i.e. the abuse of power by the majority over the limits of the laws and the bounds of decency which have been social norms and cultural traits of the Thai society. This is what Thomas Jefferson called “elective despotism.”

When the majority in the two Houses of Parliament dragged every controversial issue through the legislative process against the protest of the minority, sometimes submitting different documents from what have been passed by the other body, often times allowing others to slip voting cards in their absence, many times shunning many members from expressing their opinion on the ground that “the sense of the majority seem to be overwhelming already,” the resulting legislative products would be flawed both in their substance and in their procedural integrity. The Thai Constitutional Court handed down its majority opinion on 20 November, calling the House’ s procedure in an effort to amend the Constitution “illegal.”

Prior to the Constitutional Court’s ruling, hundreds of thousands of people were already on the streets of Bangkok and at provincial halls around the country protesting against an Amnesty Bill aiming at whitewashings all criminal acts committed since 19 September 2006 Coup against former Prime Minister Thaksin Shinnawatra all the way to10 May 2013. It would have been a sweeping amnesty for all sorts of crimes.

It was argued that the Bill would have undermined the rule of law, reversing verdicts of other courts, including the conviction against Mr. Thaksin himself and the confiscation of his “ill-gotten wealth”.

This was perceived to be an act of injustice. And we heard the Oxford-educated Korn Chatikavanij, a Democrat MP of Bangkok and former Minister of Finance under the Abhisit Government, invoking Thomas Jefferson on the Rajadamneon Stage in front of tens of thousands of people: “When injustice becomes Law, resistance becomes duty.” The crowd roared and applauded approvingly.

Facebook, Line and other forms of social media during the month-long protests certainly helped raised a higher level of political awareness and sophistication of the people in Bangkok and around the country. They shared photos, poems, articles from newspapers and video clips of powerful and persuasive speakers relevant to the controversial acts or omissions of the Government. One interesting one reached all the way to the Greek Sage of 5 Century B.C., Plato. He was quoted as admonishing people who remain uninterested and silent on political issues, known as Thai Cheuy, “One of the penalties for refusing to participate in politics, is that you end up being governed by your inferiors.” That certainly sounds a bit condescending, but such as the nature of Thai politics at the moment.

The urban and rural divide has been an Achilles heel of Thai politics all along. And the general impression of the Bangkok middle class is that the politicos in charge of the country now are full of country pumpkins and inferior than themselves. Urbane, well-educated and tax-paying, the people of Bangkok detest the populist projects doled out by the Pheu Thai Government, fraught with corruption and waste. The controversial money-losing rice price guarantee project is a good example of misconceived and mismanaged populist initiative aimed at winning rural support. The rating agency Moody’s and IMF itself have issued warnings that the scheme would become a large black hole of debt and corruption if it is not abandoned soon. To date over Baht 450 billion is considered irrecoverable. And the National Counter Corruption Commission is set to rule about corruption practices in the entire scheme.

Even the authority of Albert Einstein was invoked to inspire the crowd to cling to their seats on the surface of Rajadamneon. They would hear Dr. Trairong Suwankiri, another fiery orator from the Democrat Camp, quoting the giant of modern physics: “The world will not be destroyed by those who do evil, but by those who watch them without doing anything.” That statement certainly strikes a responsive chord among the “silent majority” who have harboured tremendous grievances but would not dare to articulate it out for fear of being despised, not knowing who the next person is, affiliated with, or entertaining any political persuasion. They have been described as being “lonely in the crowd,” full of frustrations, brimming with anger and agitated by all the misguided policies that would in the long run ruin the country’s economy. The large crowd on the streets has given them enough courage to come out, feeling liberated, wanting to join and articulate their pent up sentiments in the faceless but powerful waves of their fellow citizens.

The organizers and leaders of the demonstrations on Rajadamneon and in every corner of the country realize very well that the larger number matters to the international community. The dividing line between an ordinary political protest and a general uprising is very thin. It is the size of the crowd that makes the difference. A couple of thousands on the streets you could be a group of rebels. Four or five hundred thousands to a million and over, and you would be considered an expression of People’s Power. They also realize that a large number of humanity on the streets means more than just a normal power play. They cannot be accused of being undemocratic, not accepting the democratic process, defiant against the parliamentary majority. A large number of people on the streets in any capital of the world has its own weight, its own logic and its own legitimacy.

Thus, the teaching of John Locke on the right of revolution has also been referred to on the Campuses of Thammasat and other academic institutions. When there is no power on earth to adjudicate between the people, the Fount of Sovereignty, and the Supreme Legislature which has gone astray, “the people have no other remedy in this, as in all other cases where they have no Judge on Earth, but to appeal to Heaven.”

This clause, to appeal to Heaven, has been interpreted, since the writing of the Second Treatise on Civil Government in 1690, as the right to revolt against unjust and tyrannical government. And the bloodless and peaceful Glorious Revolution of 1688 was a modality of non-violent resistance that Locke tried to explain and justify.

Millions of Thais also hope that their resistance would be peaceful and glorious. And they fervently believe in their just cause to raise their hands to the Heaven on High and Appeal for justice and a reprieve from the transgression of power that was theirs originally, but “reposed” in the wrong hands. They expect the international community to sympathise with them and, in the final analysis, would not regard them as “undemocratic and unconstitutional, rejecting the majority rule”, but would consider them as merely exercising their right of forfeiting the trust back from a government which has manifestly abused it.

So, going forward, let the world not be surprised by the ever large number of people coming on to the streets of Bangkok. They are no longer lonely in the crowd. They sense the solidarity. They are convinced of the righteousness of their Cause. They know the number matters to the international community.

By Surin Pitsuwan
Tun Abdul Razak Fellow (2013-2014)
Oxford Centre for Islamic Studies (OXCIS)
University of Oxford, UK

ไม่มีความคิดเห็น: