ประวัติ
เกิด : 2 เมษายน พ.ศ.2491 อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
ครอบครัว : ภรรยา : ธัญญา (ธัญญขันธ์) อ่อนวิมล บุตรชาย : ธัญญ์ อ่อนวิมล
งานปัจจุบัน 1.ผลิตภาพยนตร์สารคดี และ รายการโทรทัศน์ 2.บรรยายพิเศษ เรื่อง : สื่อสารมวลชน, การเมือง, ความสัมพันธระหว่างประเทศ, ASEAN | มหาวิทยาลัยเกริก, มหาวิทยาลัยนเรศวร
ที่ทำงาน : บริษัทไทยวิทัศน์ จำกัด 89/81 Vista Park@แจ้งวัฒนะ ถ.แจ้งวัฒนะ-เลี่ยงเมืองปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทรศัพท์ 02-584-3643, 080-207-6663 โทรสาร 02-962-6363
การศึกษา 2505-2507 มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
2507-2509 ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นต้น วิทยาลัยครูจันทรเกษม กรุงเทพ
2509-2510 มัธยมปลาย High School Diploma, Park Hills High School, Parkville, Missouri, U.S.A.
2511-2514 ปริญญาตรี B.A.(Hons.)(Political Science ), University of Delhi, Delhi, India
2514-2516 ปริญญาโท M.A. (Political Science), University of Delhi, Delhi, India
2518-2524 ปริญญาเอก Ph.D. (South Asia Regional Studies), University of Pennsylvania, U.S.A.
ทุนการศึกษา
2509-2510 American Field Service International Scholarship, U.S.A.
2511-2516 Government of India General Cultural Scholarship, India
2518-2524 Harvard-Yenching Institute Fellowship, Harvard University, U.S.A.
งานมหาวิทยาลัยรัฐ 2516-2528 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
งานมหาวิทยาลัยเอกชน
2542-2543 คณบดีคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต
2542 อาจารย์พิเศษ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
2549-ปัจจุบัน อาจารย์พิเศษ วิชาสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก
2550-ปัจจุบัน อาจารย์พิเศษ วิชาการสื่อสารระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยนเรศวร
งานสื่อสารมวลชน วิทยุกระจายเสียง
2523-2545 ผลิตและดำเนินรายการข่าวสารทางสถานีวิทยุต่างๆ
2534 ร่วมจัดตั้งและผลิตรายการ จ.ส.100 วิทยุข่าวสารและการจราจร
งานสื่อสารมวลชน วิทยุโทรทัศน์
2526-2528 ดำเนินรายการสารคดีโทรทัศน์ "ความรู้คือประทีป" ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท.
2528-2531 กรรมการผู้จัดการบริษัท Pacific Intercommunication Co.,Ltd. ผลิตรายการเป็นผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าว "ข่าวภาคค่ำ" ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท.
2532 ผู้จัดการฝ่ายข่าว และผู้ประกาศข่าว สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (กุมภาพันธ์-มีนาคม)
2532 ผลิตสารคดีออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส.ท.ท.11
2533-2538 ผลิตข่าวและประกาศข่าวร่วมกับฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5
2539 ผลิตรายการสารคดีและให้คำปรึกษาแก่ฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส.ท.ท.11
2539-ปัจจุบัน ประธานกรรมการบริหาร | บริษัท ไทยวิทัศน์ จำกัด | ผลิตรายการสารคดีโทรทัศน์อิสระ
2543 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานข่าว และ ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ITV (กรกฎาคม-สิงหาคม)
2546-2552 ผู้ควบคุมการผลิต BEC-TERO Entertainment Co., Ltd.
2552-ปัจจุบัน ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี และรายการโทรทัศน์ งานการเมือง
2540 สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจังหวัดสุพรรณบุรี
2543-2549 สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสุพรรณบุรี
2550-2551 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
รางวัล 2527 รางวัลเมขลา ผู้ดำเนินรายการความรู้ทั่วไปดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2528 รางวัลเมขลา ผู้ประกาศข่าวชายดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2529 รางวัลเมขลา ผู้ประกาศข่าวชายดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2531 รางวัลผู้ประกาศข่าวชายยอดนิยม จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
2531 รางวัลประกาศกิติคุณสังข์เงินสัมพันธ์ สาขาวิทยุโทรทัศน์ สมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย
2533 รางวัลเมขลา ผู้บรรยายรายการสารคดีดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2533 รางวัลโทรทัศน์ทองคำเกียรติยศด้านผลิตรายการข่าว จากคณะกรรมการโทรทัศน์ทองคำ
2533 ASEAN Awards for Communications (Broadcasting) จากสมาคม ASEAN
2534 ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาพัฒนาคุณภาพชีวิต จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
2540 รางวัลนักรัฐประศาสนศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2540 สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
2554 รางวัลสุรินทราชา: นักแปลอาวุโสดีเด่น สมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย
บทความที่หน้าสนใจ
มหาตมะ คานธี กับ สัตยาเคราะห์ แบบ อหิงสา
Non-Violence Resistance โดย M.K. Gandhi
การชุมนุมล้มระบอบทักษิณ และขับไล่รัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ในนาม“มวลมหาประชาชนไทย” มีศูนย์กลางอยู่บนถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร กำลังประกาศการรวมพลังครั้งใหญ่ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2556 โดยคาดว่าจะรวมพลังมวลมหาประชาชนทั่วประเทศได้ถึง 1 ล้านคน เฉพาะในกรุงเทพฯ โดยคณะผู้จัดกระบวนการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและครอบครัวพี่ชายนายกรัฐมนตรีและระบบการปกครองประเทศที่พี่ชายนายรัฐมนตรีกำกับดูแลแบบโพ้นทะเล ทั้งที่เป็นนักโทษหลบหนีคดีอาญาอยู่นอกประเทศไทย
เป็นการต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทยสมัยใหม่
คณะกรรมการจัดการชุมนุมและบรรดาผู้ขึ้นเวทีปราศรัยจำนวนนับร้อยคน นอกจากจะได้สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังได้สร้างปรากฏการณ์ทางวิชาการที่น่าศึกษาอีกด้วย เพราะที่ชุมนุมได้อ้างอิงหลักปรัชญาการเมือง หลักรัฐศาสตร์ และหลักประชาธิปไตย ซึ่งปรกติจะซับซ้อนเข้าใจไม่ง่ายนักสำหรับเวทีสาธารณะขนาดมหึมาเช่นนี้ แต่ก็น่าทึ่งที่ผู้ปราศัยหลายคนเป็นนักคิดและนักวิชาการชั้นนำของประเทศไทย นอกเหนือจากอารมณ์ร่วมอุดมการณ์พื้นฐานทางการเมืองที่มุ่งต่อต้านการทุจริตคดโกงของรัฐบาล ผู้บงการเบื้องหลังนายกรัฐมนตรี และนักการเมืองสังกัดพรรครัฐบาลแล้ว นักวิชาการเหล่านั้นก็สามารถปราศรัยให้ความรู้ทางวิชาการได้อย่างเข้าใจง่ายและเพลิดเพลิน แม้จะผิดหลักอหิงสาอยู่บ้างตรงที่ใช้ความรุนแรงทางวจีกรรม แต่มวลมหาชนก็ได้รับอานิสงความรู้ทางปรัชญารัฐศาสตร์ด้วยทุกวัน
ประมวลจากการปราศรัยตั้งแต่วันแรกเริ่มมาจนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 หากไม่นับรวมพระพุทธเจ้า และ พระศาสดาโมฮัมหมัด ผมสรุปได้ว่ามีนักปรัชญา นักคิดและนักปฏิบัติทางการเมืองคนสำคัญของโลก มีอิทธิพลทางความคิดต่อการจัดการมวลมหาประชาชนไทยโดยเฉพาะที่เวทีราชดำเนินอยู่ 8 คน คือ Voltaire, Thomas Hobbes, Thomas Jefferson, Abraham Lincoln, John Locke, Henry David Thoreau, Mahatma Gandhi, และ John Rawls (ไม่ได้เรียงชื่อตามลำดับความสำคัญ).
สามคนหลังนับว่ามีอิทธิพลมากที่สุด เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดความคิดเรื่องกระบวนการดื้อแพ่งของประชาชนผู้มีอารยธรรม ซึ่งนักวิชาการสันติศึกษาในประเทศไทยเรียกว่า “อารยะขัดขืน” จากรากศัพท์เดิมของ Henry David Thoreau ว่า “Ciivil Disobedience” ซึ่งควรแปลว่า “การดื้อแพ่งแบบมีอารยะ” หรือ “อารยะดื้อแพ่ง” หรือ “อารยะขัดขืนและฝ่าฝืน” หรือ “อารยะขัดฝืน” ก็ได้ ผมใช้คำว่า “ขบวนการดื้อแพ่ง” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 ครั้งที่เริ่มเป็นอาจารย์สอนวิชาเอเชียใต้ศึกษา - การเมืองการปกครองอินเดีย - และปรัชญาอินเดีย ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คำว่า “ดื้อแพ่ง” แปลได้ตรงตัว ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ส่วน “civil” ก็แปลได้ตรงตัวว่า “พลเมือง” ก็ได้, “ผู้มีการศึกษามีวัฒนธรรมหรือมีอารยธรรม” ก็ได้ เนื่องจากเรื่องนี้แม้จะเก่านานเกือบสองร้อยปีแล้ว แต่สังคมไทยยังไม่คุ้นเคยทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ นิยามศัพท์จึงยังไม่ลงตัว แต่เราก็นิยมเอาคำว่า “อหิงสา” มาใช้อย่างฉาบฉวยในการต่อสู้ทางการเมืองมานานแล้ว ใช้โดยไม่รู้ความหมาย ไม่เข้าใจพลังที่แท้จริงของคำ การใช้อหิงสาเป็นอาวุธทางการเมืองในประเทศไทยจึงล้มเหลวตลอดมา
การลุกขึ้นต่อสู้ล้มระบอบทักษิณโดยพลเมืองไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ก็ทำนองเดียวกัน มีการนำคำว่า “อหิงสา” มาใช้โดยอ้างมหาตมะ คานธี ทุกวัน แต่ไม่มีใครเข้าใจว่าคืออะไร และต้องทำอย่างไร ไม่มีการอธิบายบนเวทีปราศัย นอกจากจะบอกว่า “เราใช้สันติวิธี...ใช้หลักอหิงสา… ชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ….. ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน” (แต่ก็มีแผนเคลื่อนย้าย) มวลชนไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมทางปรัชญา ไม่มีประสบการณ์ความพ่ายแพ้หรือบาดเจ็บล้มตายจากอหิงสามาก่อน
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอหิงสาก็บาดเจ็บได้ ตายได้
การพูดถึงอหิงสา ก็มิได้พูดถึง “สัตยาเคราะห์” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญทั้งในเชิงยุทธศาสตร์ และในกระบวนการภาคปฏิบัติ ซึ่งมีรายละเอียดซับซ้อนหลากหลาย ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา คนไทยได้ยินแต่ “อหิงสา” โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริง และไม่เคยได้ยินคำว่า “สัตยาเคราะห์” จากผู้นำมวลชน หากจะวัดผลตามปรัชญาและแนวปฏิบัติ “สัตยาเคราะห์-อหิงสา” ก็กล่าวได้ว่ามวลมหาประชาชนไม่เข้าใจ จึงไม่ได้ปฏิบัติครบถ้วน ส่วนผู้นำมวลชนก็เช่นกัน ไม่รู้จักอหิงสาที่แท้จริงเท่าๆกับมวลชน ขอยืมอหิงสามาใช้ตามความสะดวกเหมาะสมทางยุทธศาสตร์เท่านั้น แถมยังประกาศใช้สัตยาเคราะห์อีกด้วยโดยไม่รู้ตัว ดังนี้แล้วท่านมหาตมะ คานธีก็คงจะบอกล่วงหน้าได้ว่ามวลมหาประชาชนไทยจะมิได้พบกับสิ่งที่ปรารถนาตามหลักทฤษฎีของมหาตมะ คานธี
หากจะได้รับชัยชนะ ท่านก็จะบอกว่า “อหิงสาและสัตยาเคราะห์ไม่เกี่ยว”
การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนหากจะได้รับชัยชนะ - ซึ่งผมเองก็มีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายผู้ชุมนุมอยู่ด้วย - ผมก็มั่นใจว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะการต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม โดยมีข้อมูลความจริง หรือ “สัตยา” ชัดเจน ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากชัยชนะจะต้องเป็นของประชาชน
แต่ผมก็จำต้องวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าว่าชัยชนะที่มวลมหาประชาชนจะได้นั้น จะเป็นชัยชนะทางการเมืองที่ใช้เทคนิคการต่อสู้ผสมผสาน ทั้งแบบปรัชญาการเมืองตะวันตก ปรัชญาอินเดีย ปรัชญาพุทธศาสนา ทั้งแบบคลาสสิค และแบบประยุกต์ และที่สำคัญจะเป็นชัยชนะที่พึ่งยุทธสาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองแบบไทยร่วมสมัย ที่ทั้งรัฐบาลที่ถูกต่อต้าน และทั้งฝ่ายประชาชนที่เป็นฝ่ายต่อต้าน ต่างก็ใช้ตำราเดียวกัน คือตำรายุทธศาสตร์การเมืองแบบไทยๆ ที่ทำอย่างไรก็ทำได้ ตามความสะดวก ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถ ภูมิปัญญา ไหวพริบ และ ที่สำคัญคือการใช้หลักการพื้นฐานทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริงจากประชาชน สู้กับรัฐบาลที่มิได้ยึดหลักอุดมการณ์ประชาธิปไตยจากตำรารัฐศาสตร์ที่ไหนเลย
ผู้มีอุดมการณ์ย่อมมีพลังเหนือผู้ไร้อุดมการณ์ แน่นอน
ทว่าวิธีที่สังคมไทยใช้อยู่ ณ เวลานี้นั้น มหาตมะ คานธี ท่านจะเรียกว่าเป็นวิธีตะวันตกที่ใช้อหิงสาและอารยะดื้อแพ่งตามความสะดวกเท่าานั้น แนววิเคราะห์นี้อยู่ท้ายบทความข้างล่าง
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าบทความต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมหาประชาชนไทย ณ ถนนราชดำเนิน โดยเฉพาะคณะกรรมการผู้จัดการชุมนุม จะได้อ่านให้ละเอียด เพื่อจะได้นำไป “ประยุกต์” ใช้เพื่อเสริมโอกาสให้ได้รับชัยชนะเหนือรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมได้เร็วขึ้น
ผมเน้นเฉพาะเรื่องอหิงสา และ สัตยาเคราะห์ ของมหาตมะ คานธี ก่อน ทั้งๆที่โดยหลักวิวัฒนาการอาระดื้อแพ่งแล้วควรต้องเริ่มที่ต้นแบบตำรา Civil Disobedience ของ Henry David Thoreau ก่อน เพราะเป็นต้นทางความคิด และมีอิทธิพลไม่น้อยต่อชีวิตและงานของมหาตมะ คานธี และเป็นความคิดที่มีมาก่อนมหาตมะ คานธี ถึง 52 ปี ในเมื่อไม่มีใครพูดถึง Thoreau กันเลย กันผมก็ขอเก็บความรู้ไว้คนเดียวก่อน ได้จังหวะเมื่อไรจะเขียนอธิบายให้ได้นำไปคิดต่อในอนาคตอันใกล้ ส่วนJohn Rawls และนักคิดคนอื่นก็เช่น ผมได้ฝากอาจารย์รัฐศาสตร์บางท่านไปบ้างแล้วให้ไปหาทางสอนแทรกในชั้นเรียนของนิสิตนักศึกษา หรือแม้กระทั่งในโรงเรียนมัธยม เพื่อจะได้เบ่งบานทางสันติศึกษากันตั้งแต่วัยเยาว์
การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย หรือในที่ไหนๆในโลกเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะนักการเมืองที่ทุจริตฉ้อฉลมักจะได้โอกาสเข้ามาฉ้อฉลระดับชาติได้เสมอ คราใดที่ประชาชนขาดการศึกษาเรื่องปรัชญารัฐศาสตร์ และขาดการใส่ใจในประโยชน์ส่วนรวม หากได้เข้าใจ “อหิงสา” “สัตยาเคราะห์” และ “อารยะดื้อแพ่ง” อย่างดีแล้ว จะได้เข้าใจวิธีต่อสู้กับความรุนแรงโดยอำนาจรัฐ ด้วยการใช้ความไม่รุนแรงของประชาชนพลเมืองได้
ต่อไปนี้เป็นบทแปล บทความของ Bharatan Kumarappa (ภารธาน กุมารัปปะ) เขียนเมื่อปี 1950 ในฐานะบรรณาธิการหนังสือของมหาตมะ คานธี ชื่อ Non-Violence Resistanceพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 1951 รวมข้อเขียนบทความของมหาตมะ คานธี โดยตรง จากปี 1920 ถึง 1940 ส่วนใหญ่นำมาจากหนังสือพิมพ์ Young India ที่ท่านมหาตมะ คานธี เป็นบรรณาธิการเอง
ผมแปลบทความทั้งหมดแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีความเห็นส่วนตัวแทรก ยกเว้นการใช้ถ้อยคำสำนวนที่ปรับให้ร่วมสมัยมากขึ้น (ข้อความในวงเล็บเพิ่มเติมโดยผมเอง)
บทความนี้เป็นบทนำของหนังสือ ก่อนจะเข้าเนื้อหาโดยละเอียดในเล่ม แม้จะมิใช้ข้อความของมหาตมะ คานธี โดยตรง แต่ผมเห็นว่าเป็นบทสรุปที่ถูกต้องแม่นยำ เข้าใจง่าย สำหรับคนไทยที่อยากรู้โดยกว้างว่า สัตยาเคราะห์ อหิงสา และ อารยะขัดขืน นั้นเป็นอย่างไร
สมเกียรติ อ่อนวิมล
23 พฤศจิกายน 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น