วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข)


ประวัติ
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ สำเร็จการศึกษา แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พ.ศ. 2521อบรมหลักสูตรนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง รุ่นที่ 11 กสธ. พ.ศ. 2537 อบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 38 สำนักงาน ก.พ.พ.ศ. 2545 สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2548 การป้องกันราชอาณาจักรภาครับร่วมเอกชน (ปรอ.)รุ่นที่ 21พ.ศ. 2551 อนุมัติบัตรผู้เชี่ยวชาญ สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน พ.ศ. 2555

ประวัติการรับราชการที่สำคัญ
พ.ศ. 2536 – 2542 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร
พ.ศ. 2542 – 2544 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี
พ.ศ. 2544 – 2545 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. 2545 – 2550 รองอธิบดีกรมควบคุมโรค
พ.ศ. 2550 – 2553 ผู้ตรวจราชการกระทรวง
พ.ศ. 2553 – 2554 รองปลัดกระทรวง (ด้านบริหาร)
พ.ศ. 2554 – 2555 อธิบดีกรมสุขภาพจิต
1 ตุลาคม 2555 – ปัจจุบัน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (อดีตเลขาธิการอาเซียน)



นาง ฮิลลารี ถาม ดร. สุรินทร์ว่า เห็นอาเซียนกำหนดกรอบเวลาในการรวมตัวกันมายาวนาน เมื่อไหร่จึงจะเกิดขึ้นได้จริงเสียที ...
::: ดร. สุรินทร์จึงถามว่า โทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้ประพันธ์สารนิพนธ์ประกาศเอกราชของอเมริกา ได้เขียนเอาไว้ว่า All men are created equal คนทุกคนเกิดมาโดยเท่าเทียม .... แต่ที่สุดแล้ว กี่ปีกว่าที่ อเมริกา จะให้สิทธิในการโวตแก่ ผู้หญิง หลังจากนั้นอีกกี่ปีอเมริกาจึงจะเลิกทาสและคนผิวสีจะมีโอกาสเทียบเท่ากับคนขาว หลังจากนั้นกี่ปีที่คนผิวสีไม่ได้โดนแบ่งแยกกีดกัน


ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 - ) อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกิดวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เป็นนักการเมืองชาวไทยมุสลิม และเคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

ดร.สุรินทร์ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งมีวาระ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 จนสิ้นสุดวาระเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 โดยนั่งทำงานที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ โดยคนไทยคนแรกคืออดีตเอกอัครราชทูตและอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แผน วรรณเมธี (ปัจจุบันเป็นเลขาธิการสภากาชาดไทย) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2532-2536

ประวัติ

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช มีบิดาเป็นครูมุสลิม ศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช และ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแคลร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2515 ปริญญาโท มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2518) และปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2525) เริ่มอาชีพนักวิชาการในตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2518-2529

การเมือง

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เข้าสู่แวดวงการเมืองในปี พ.ศ. 2529 โดยได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.นครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรติดต่อกัน 7 สมัย เคยเป็นเลขานุการของนายชวน หลีกภัย ขณะที่นายชวนดำรงตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2529-2531) ต่อมาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2535-2538[1] และเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2540-2544 ต่อมา ดร.สุรินทร์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน โดยเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 หลังจากที่ได้มีการส่งชื่อไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2550 และได้รับการรับรองจากชาติสมาชิกอย่างเป็นทางการในที่ประชุมผู้นำอาเซียน ณ สิงคโปร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550[2]

สรุปการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ดร.สุรินทร์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, 2548
เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายชวน หลีกภัย) ปี พ.ศ. 2529-2531
ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2531-2534
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2535-2538
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2540-2544



เปิดพิมพ์เขียว 9 แนวทางปฏิรูปประเทศไทยโดย ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ

1) ปฏิรูปการเมืองหลักการสำคัญข้อแรกของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือ อำนาจทางการเมืองที่ได้มาจากประชาชนต้องมีขอบเขตจำกัด โดยกฎหมาย ตามกฎกติกา และค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติอันทรงคุณค่าของสังคม และต้องตระหนักว่า “เสียงข้างมากไม่ใช่ ”ประทานบัตร” หรือใบอณุญาต ที่ให้อำนาจผู้ถือสิทธิ์จัดการกับประเทศตามอำเภอใจ ไม่มีขอบเขต ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง หลักนิติธรรม ค่านิยมของสังคมใดๆ ทั้งสิ้นสร้างเสริมกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลย์อำนาจฝ่ายต่างๆ ที่อาจจะเหลื่อมล้ำเกินเลยขอบเขตของกรอบกฏหมาย ละเมิดสิทธิฝ่ายอื่น เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องครอบครัว และกำหนดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ และกลไกดังกล่าวจะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีการอ้างสิทธิจากเสียงข้างมากเข้ามาก้าวก่าย จนเสียความเป็นกลาง ขาดอิสระ และไร้ประสิทธิภาพ

2) ปฏิรูประบบตรวจสอบอันเข้มข้นจากภาคประชาชน เพื่อต่อต้านคอรัปชั่น การฉ้อราษฏร์บังหลวงในระยะเวลาที่ผ่านมาการบริหารจัดการโอกาสและทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ทั้งในรูปของงบประมาณแผ่นดิน ทรัพยากรธรรมชาติ กิจการรัฐวิสาหกิจ ได้ถูกครอบงำ ตักตวงผลประโยชน์ทุกรูปแบบ จนทำให้ผลประโยชน์สูงสุดไม่ตกเป็นของประเทศชาติและประชาชน ถ้าคิดเป็นมูลค่าเป็นตัวเงินเกิดการรั่วไหลกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปีนอกจากนั้นทรัพย์สินของรัฐ สมบัติของแผ่นดินต้องได้รับการปกป้อง แยกส่วนชัดเจนจัดการ จากทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ปะปนสับสนเป็นกงสีของตระกูล เครือญาติ และพรรคพวก มาตรการต่างๆ ที่ควรจะพิจารณาจัดตั้ง คือ- มีองค์กรตรวจสอบภาคประชาชน ให้ภาคประชาชนมีสิทธิ์ในการตรวจสอบ และฟ้องร้องดำเนินคดีได้- กำหนดให้มีบทลงโทษที่ชัดเจน มีกระบวนการกฏหมายให้มีการปฏิบัติอย่างรัดกุม ในการที่หน่วยงานรัฐไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร- คดีคอรัปชั่นไม่มีหมดอายุความ

3) ปฏิรูประบบราชการและกระจายอำนาจระบบราชการต้องปลอดจากการเมือง ข้าราชการมีศักดิ์ศรี เป็นอิสระ มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการภายในองค์กรของตนเองตามกรอบและกฎเกณฑ์โดยกฎหมายเฉพาะสำหรับแต่ละหน่วยงานที่ชัดเจน เพื่อมิให้เป็นกลไกเพื่อเพิ่มพูนแสวงหาและรักษาผลประโยชน์ของครอบครัว และพวกพ้อง เหมือนที่เป็นอยู่ตั้งแต่ในอดีตและรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันกลไกการปกครองของรัฐต้องมีการกระจายโอกาสให้ประชาชนและภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของชุมชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น ตลอดจนการใช้ และเข้าถึงซึ่งทรัพยากรในท้องถิ่นของตน โดยคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตของประชากรของประเทศร่วมกัน- เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด- ยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาค กระจายอำนาจราชการสู่ท้องถิ่น กำหนดให้หน่วยงานภายใต้สังกัดของมหาดไทย การศึกษา การเกษตร การพาณิชย์ การส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ อยู่ภายใต้อำนาจของท้องถิ่น- งบประมาณของแผ่นดินไม่น้อยกว่า 35% ให้อยู่ในการดูแลของรัฐบาลท้องถิ่นในทุกระดับ- กำหนดการกระจายอำนาจให้เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกรัฐบาลต้องดำเนินการ- ตำรวจสังกัดท้องถิ่น อยู่ภายใต้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง- ปฏิรูประบบราชการ ข้าราชการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ตอบโจทย์สังคมที่เปลี่ยนไป- ขจัดการการแทรงแซงของภาคการเมือง และระบบอุปถัมภ์- มีการจัดตั้งสภาประชาชนในทุกจังหวัดเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบหน่วยงานท้องถิ่น- เป็นภาคีกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านคอรัปชั่น เพื่อผูกพันประเทศไทยต้องมีระบบการตรวจสอบ ป้องกันที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น เช่น อนุสัญญา ต่อต้านคอรัปชั่นของ OECD ปี 2011 และ ข้อตกลง ASEAN Supreme Audit Institutions Assembly

4) ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส ให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจน บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยั่งยืนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแบบทั่วถึง และเป็นธรรม มีเป้าหมายขจัดความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน มีดัชนีบอกวัดความเหลื่อมล้ำที่แม่นยำ ไม่ให้เกิดสภาพการ “รวยกระจุก จนกระจาย” อีกต่อไป- สร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนระยะยาว- แก้ปัญหาการถือครองที่ดิน ให้มีที่ดินทำกินอย่างทั่วถึง ควบคู่ไปกับการจัดการกับที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์- ปรับโครงสร้างกระบวนการผลิต การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูป การตลาด และการขนส่ง สำหรับภาคเกษตร ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ และเกษตรผสมผสาน- ลงทุนระบบชลประทาน ทุกชุมชนต้องเข้าถึงแหล่งน้ำได้

5) ปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกันให้โอกาสทางการศึกษา พัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างทั่วถึงเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เคารพและให้เกียรติต่อกัน มีความปรองดองในหมู่ประชากรที่มีความหลากหลาย ด้วยความเสมอภาค ปราศจากการแบ่งแยก เลือกปฏิบัติ กีดกัน รังเกียจเดียดฉันท์ เนื่องด้วยความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนความเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน- สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษา เด็กยากจนต้องได้เข้าเรียนทุกคน ไม่มีใครตกหล่นจากระบบการศึกษา (No child left behind) เพื่อให้มีอัตราการเข้าศึกษา 100% จาก อนุบาล 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6- มีการจัดการอบรมสำหรับครู รวมทั้งปรับปรุงหลักสูตรการเรียนให้มีมาตรฐาน น่าสนใจต่อผู้เรียน- มีการวัดผลโรงเรียน ครู และกระบวนการสอน อย่างโปร่งใส รัดกุม ได้มาตรฐาน โดยผู้เชี่ยวชาญและกระบวนการที่ตรวจสอบได้ โดยใช้ประสิทธิผลของนักเรียนเป็นดัชนีชี้วัด

6) ปฏิรูประบบสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึง โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) และความมั่นคงมนุษย์ (Human Security)จัดเก็บภาษีอย่างทั่วถึงเป็นธรรม มุ่งเป็น สังคมสวัสดิการ ให้ทุกชีวิตดำรงอยู่อย่างเสมอภาค มีความมั่นคงบนพื้นฐานแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน – ทั้งชีวิตเราดูแล “จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน”- การดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ช่วงก่อนเข้าเรียน และในช่วงวัยเรียน ตลอดจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน- การขยายระบบประกันสังคมและบำนาญที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม อย่างทั่วถึง

7) เศรษฐกิจที่มีการแข่งขันอย่างโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค- บังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง- จัดตั้งองค์การคุ้มครองผู้บริโภคที่มีตัวแทนของภาคประชาชน และเป็นองค์กรที่เป็นอิสระนอกเหนือจากระบบราชการ

8) ปฏิรูปสื่อสารมวลชนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยสันติ มีสิทธิ์ในการได้รับและเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารของรัฐ จะต้องมีการคุ้มครอง ปกป้องอย่างจริงจัง ปราศจากการแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ และอิทธิพลทางการเมือง ต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ- สื่อมวลชนทุกแขนงต้องนำเสนอข่าวที่เท่าเทียมกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ภาคประชาชน- กำหนดมาตรฐานจริยธรรมของสื่อ มีองค์กรวิชาชีพเป็นเครื่องมือในการควบคุมจริยธรรมและจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน

9) ปฏิรูประบบยุติธรรมสิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างทั่วถึง มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างเท่าทียม ไม่ใช้กระบวนยุติธรรมเพื่อเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง และผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม ไม่มีสองมาตรฐาน- พิจารณาคดีในรูปแบบคณะอัยการ สำหรับคดีสำคัญ คดีที่มีความเกี่ยวกับสังคมส่วนรวม ไม่รวบอำนาจไว้ที่อัยการสูงสุด- มีตัวแทนภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบอัยการ เช่น อยู่ใน คณะกรรมการอัยการที่แต่งตั้งอัยการ หรือคัดเลือกองค์คณะอัยการในคดีที่สำคัญของแต่ท้องที่ เช่นคดีการเมืองในจังหวัด คดีการเมือง คดีผู้มีอิทธิพล- ป้องกันการล้มคดี ในระดับตำรวจในคดีสำคัญให้อัยการร่วมในการสืบสวน หาพยานและหลักฐานด้วย


ดร.สุรินทร์ ถึงคนเสื้อแดงและคนเกลียด ปชป

    บังหลีม(ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ)ให้สัมภาษณ์ น่าคิดมากๆ จากคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ฝากถึง คนเสื้อแดงที่ยังรักเมืองไทย / คนเกลียดทักษิณแต่ก็เกลียดประชาธิปัตย์ ทุกคน อยากถามเพื่อน ๆ เสื้อแดงจริง ๆ ว่า รับสภาพรัฐบาลนี้กันเข้าไปได้ยังไง ณ จุดนี้ ต่อให้เกลียดประชาธิปัตย์ยังไง แต่ก็น่าจะฉุกคิดบ้างได้แล้วว่าทักษิณ ได้ทำอะไรไปกับประเทศเราบ้าง คนเสื้อแดงจะมองไม่ออกเชียวหรือว่าสิ่งที่เพื่อไทยทำนั้น เลวร้ายกว่าสิ่งที่นักการเมืองยุคไหนทำมาทั้งหมด คนที่ออกมาประท้วง คนที่ราชดำเนินในตอนนี้ ไม่มีใครไม่รู้ว่าประชาธิปัตย์ไม่โกง ไม่มีใครคิดว่าสุเทพเป็นคนดีหมดจด ใคร ๆ ก็รู้ว่านักการเมืองมันโกงทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้ทักษิณโกงเกินไปหรือเปล่า ทักษิณล้ำเส้นของเส้นของเส้นที่ขีดไว้ 4-5 ทอด ไกลกว่ารัฐบาลไหน ๆ ที่เคยโกงกันมา สมัยก่อนจะโกงทีต้องหลบต้องซ่อน แต่เดี๋ยวนี้นอกจากจะไม่หลบแล้ว ยังโกงแบบเปิดเผยหน้าด้าน ๆ ด้วย "กูจะโกง ทำไม ใครจะทำอะไรกูได้" วินาทีนี้ ต่อให้ประชาธิปัตย์ หรือสุเทพเลวร้ายแค่ไหน ก็คงเทียบกันไม่ได้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยคลางแคลงใจว่าสุเทพจะมี Hidden Agenda หรือเล็งผลประโยชน์อื่น ๆ อีกรึเปล่า เพราะยี่ห้อประชาธิปัตย์บอกตรง ๆ ว่าก็ไม่ค่อยมั่นใจซักเท่าไหร่ แต่ยิ่งนานวันเข้า ก็เริ่มรู้สึกเห็นใจและเชื่อใจขึ้นทีละน้อย ไม่ใช่เพราะพูดจายาหอมสไตล์ประชาธิปัตย์ แต่เป็นการทุ่มสุดตัวชนิดที่เรียกว่าสุดซอย หรือแม้แต่การกล้าสวนกระแสพรรค แตกหักทางความคิดกับต้นสังกัดเดิม และสุดท้ายที่ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้นหากการปฏิรูปนี้เสร็จสิ้นลง อย่างหลังสุดนี้จะทำได้จริงรึเปล่ายังไม่รู้ แต่คิดว่าสุเทพคงไม่หน้าด้านเท่าจตุพร ณัฐวุฒิ อย่างแน่นอน อีกอย่างที่ผมสัมผัสได้แม้จะแผ่วเบามากและหวังไว้ในใจลึก ๆ ว่าจะเป็นจริงนั่นก็คือ การกลับใจ คนเราไม่ว่าจะขนาดไหน เมื่อยามแก่ชราลงถึงจุดหนึ่ง และโกงกินมาพอแล้ว เลวมาพอแล้ว ก็จะมี moment ที่อยากจะฝากอะไรซักอย่างหนึ่งที่ดี ไว้ให้คนรุ่นหลังได้พูดถึงต่อ ๆ ไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัสได้ในตัวของนักการเมืองอย่างทักษิณ เฉลิม บรรหาร เลยแม้แต่นิดเดียว ความรู้สึกนี้คิดว่าคงจะไม่ได้รู้สึกไปเอง เพราะไม่อย่างนั้นคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุลคงไม่ออกมาบอกให้พันธมิตรเข้าร่วมสังฆกรรมกับสุเทพอย่างแน่นอน เพราะสนธิเกลียดสุเทพน้อยกว่าทักษิณนิดเดียวจริง ๆ บางคนบอกว่า ไม่เอาทักษิณ แต่ก็ไม่เอาประชาธิปัตย์เหมือนกัน ผมอยากจะฝากบอกว่า ประชาธิปัตย์น่ะคุณจะปฏิเสธเมื่อไหร่ก็ได้ เลือกตั้งครั้งหน้าแค่ไม่ลงคะแนนให้ อภิสิทธิ์ก็เดินเข้าสภาไม่ได้แล้ว แต่ทักษิณน่ะต้องตอนนี้ เวลานี้เท่านั้น นี่เป็นเพียงเสี้ยวเวลาเดียวในช่วงประวัติศาสตร์ ถ้าผ่านจุดนี้ไปแล้ว มันไม่มีเวลามาปฏิเสธทักษิณอีกแล้ว เพราะทุกอย่างมันโดนกลืนกิน สูญสลายหายไปหมดแล้ว ใครที่ยังรักประเทศไทยน้อยกว่าทักษิณ ใครที่ยังเกลียดชังประชาธิปัตย์ ใครที่ยังไม่มั่นใจในตัวสุเทพ ออกมาเถอะครับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นแค่ชื่อตำแหน่งผู้นำการปฏิรูปเท่านั้น ณ เวลานี้เราไม่ได้ต้องการคนดีพร้อม เราไม่ได้ต้องการคนที่ใสสะอาดหมดจด เราต้องการแค่คนที่กล้าลุกขึ้นสู้ เราต้องการคนจุดประกายการปฏิรูปการเมือง เราต้องการกำจัดนักการเมืองชั่ว ๆ ที่สัตว์ ๆ แต่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสภา โดยที่ประชาชนคนอย่างเรา ๆ ไม่เคยทำอะไรมันได้เลย ในชั่วชีวิตของผม ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าโอกาสแบบนี้จะผ่านมาอีกทีเมื่อไหร่ โอกาสในการปฏิรูปการเมืองมันอยู่แค่เอื้อมตรงหน้านี้แล้ว สุเทพ เทือกสุบรรณ ก้าวไปไกลกว่าม๊อบไหน ๆ ที่เคยมีมาทั้งหมด โอกาสแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว It's now or never. ถ้าไม่รวมพลังกันตอนนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีการเมืองไทย ไม่มีอนาคต ไม่มีแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ให้คนเกลียดได้อีกต่อไป


Dr.SurinWoffordNominationLetter.pdf

Democracy Lessons on the Streets of Bangkok

By Surin Pitsuwan

Whether or not the massive protests against the government by the people all over the country, particularly on the streets of Bangkok, would lead to any meaningful changes in our political culture and system remain to be seen and evaluated by experts. One thing is quite clear, the marathon demonstration has brought about many beautiful literary works inspired by the largest political event in Thailand’s history. We can call them “streets poetry” ,“protest arts” or “music of grievances” they have become a new genre of popular art forms that sprang up quite spontaneously on the dusty concrete footpath and from the depths of emotions of participants, supporters and by-standers.

And powerful quotations from philosophers and thinkers of politics and democracy from ancient Greece to the genius of modern eras were invoked to justify their “right to rebel” against what they perceive to be an unjust government. Social media has been the best instrument to share with millions around the country and help galvanize the overwhelming support from the country’s agitated electorate.

The very first issue of grievance articulated day in and day out on the pavement of Rajadamneon Avenue is the arrogance of power. Hundreds of thousands of multitude from all walks of life and all corners of the country, armed only “with a pair of sport shoes and a pure heart,” converged for one and the same reason, i.e. the abuse of power by the majority over the limits of the laws and the bounds of decency which have been social norms and cultural traits of the Thai society. This is what Thomas Jefferson called “elective despotism.”

When the majority in the two Houses of Parliament dragged every controversial issue through the legislative process against the protest of the minority, sometimes submitting different documents from what have been passed by the other body, often times allowing others to slip voting cards in their absence, many times shunning many members from expressing their opinion on the ground that “the sense of the majority seem to be overwhelming already,” the resulting legislative products would be flawed both in their substance and in their procedural integrity. The Thai Constitutional Court handed down its majority opinion on 20 November, calling the House’ s procedure in an effort to amend the Constitution “illegal.”

Prior to the Constitutional Court’s ruling, hundreds of thousands of people were already on the streets of Bangkok and at provincial halls around the country protesting against an Amnesty Bill aiming at whitewashings all criminal acts committed since 19 September 2006 Coup against former Prime Minister Thaksin Shinnawatra all the way to10 May 2013. It would have been a sweeping amnesty for all sorts of crimes.

It was argued that the Bill would have undermined the rule of law, reversing verdicts of other courts, including the conviction against Mr. Thaksin himself and the confiscation of his “ill-gotten wealth”.

This was perceived to be an act of injustice. And we heard the Oxford-educated Korn Chatikavanij, a Democrat MP of Bangkok and former Minister of Finance under the Abhisit Government, invoking Thomas Jefferson on the Rajadamneon Stage in front of tens of thousands of people: “When injustice becomes Law, resistance becomes duty.” The crowd roared and applauded approvingly.

Facebook, Line and other forms of social media during the month-long protests certainly helped raised a higher level of political awareness and sophistication of the people in Bangkok and around the country. They shared photos, poems, articles from newspapers and video clips of powerful and persuasive speakers relevant to the controversial acts or omissions of the Government. One interesting one reached all the way to the Greek Sage of 5 Century B.C., Plato. He was quoted as admonishing people who remain uninterested and silent on political issues, known as Thai Cheuy, “One of the penalties for refusing to participate in politics, is that you end up being governed by your inferiors.” That certainly sounds a bit condescending, but such as the nature of Thai politics at the moment.

The urban and rural divide has been an Achilles heel of Thai politics all along. And the general impression of the Bangkok middle class is that the politicos in charge of the country now are full of country pumpkins and inferior than themselves. Urbane, well-educated and tax-paying, the people of Bangkok detest the populist projects doled out by the Pheu Thai Government, fraught with corruption and waste. The controversial money-losing rice price guarantee project is a good example of misconceived and mismanaged populist initiative aimed at winning rural support. The rating agency Moody’s and IMF itself have issued warnings that the scheme would become a large black hole of debt and corruption if it is not abandoned soon. To date over Baht 450 billion is considered irrecoverable. And the National Counter Corruption Commission is set to rule about corruption practices in the entire scheme.

Even the authority of Albert Einstein was invoked to inspire the crowd to cling to their seats on the surface of Rajadamneon. They would hear Dr. Trairong Suwankiri, another fiery orator from the Democrat Camp, quoting the giant of modern physics: “The world will not be destroyed by those who do evil, but by those who watch them without doing anything.” That statement certainly strikes a responsive chord among the “silent majority” who have harboured tremendous grievances but would not dare to articulate it out for fear of being despised, not knowing who the next person is, affiliated with, or entertaining any political persuasion. They have been described as being “lonely in the crowd,” full of frustrations, brimming with anger and agitated by all the misguided policies that would in the long run ruin the country’s economy. The large crowd on the streets has given them enough courage to come out, feeling liberated, wanting to join and articulate their pent up sentiments in the faceless but powerful waves of their fellow citizens.

The organizers and leaders of the demonstrations on Rajadamneon and in every corner of the country realize very well that the larger number matters to the international community. The dividing line between an ordinary political protest and a general uprising is very thin. It is the size of the crowd that makes the difference. A couple of thousands on the streets you could be a group of rebels. Four or five hundred thousands to a million and over, and you would be considered an expression of People’s Power. They also realize that a large number of humanity on the streets means more than just a normal power play. They cannot be accused of being undemocratic, not accepting the democratic process, defiant against the parliamentary majority. A large number of people on the streets in any capital of the world has its own weight, its own logic and its own legitimacy.

Thus, the teaching of John Locke on the right of revolution has also been referred to on the Campuses of Thammasat and other academic institutions. When there is no power on earth to adjudicate between the people, the Fount of Sovereignty, and the Supreme Legislature which has gone astray, “the people have no other remedy in this, as in all other cases where they have no Judge on Earth, but to appeal to Heaven.”

This clause, to appeal to Heaven, has been interpreted, since the writing of the Second Treatise on Civil Government in 1690, as the right to revolt against unjust and tyrannical government. And the bloodless and peaceful Glorious Revolution of 1688 was a modality of non-violent resistance that Locke tried to explain and justify.

Millions of Thais also hope that their resistance would be peaceful and glorious. And they fervently believe in their just cause to raise their hands to the Heaven on High and Appeal for justice and a reprieve from the transgression of power that was theirs originally, but “reposed” in the wrong hands. They expect the international community to sympathise with them and, in the final analysis, would not regard them as “undemocratic and unconstitutional, rejecting the majority rule”, but would consider them as merely exercising their right of forfeiting the trust back from a government which has manifestly abused it.

So, going forward, let the world not be surprised by the ever large number of people coming on to the streets of Bangkok. They are no longer lonely in the crowd. They sense the solidarity. They are convinced of the righteousness of their Cause. They know the number matters to the international community.

By Surin Pitsuwan
Tun Abdul Razak Fellow (2013-2014)
Oxford Centre for Islamic Studies (OXCIS)
University of Oxford, UK

นายนิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา)


รองเท้าผ้าใบ กับใจถึงๆ
ประวัติ ทนายนกเขา

นิติธร ล้ำเหลือ (เกิด พ.ศ. 2508--ชื่อเล่น: นกเขา) เป็นทนายความที่รับว่าความคดีเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ปัจจุบันเป็นกรรมการฝ่ายสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ

นิติธร ล้ำเหลือ มีชื่อเล่นว่า นกเขา (เขา) จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตั้งสำนักงานกฎหมาย KAT มีชื่อเสียงจากคดีฟ้องร้องต่อศาลปกครอง คดีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย คดีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีเสนอปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกขัดต่อรัฐธรรมนูญ และคดีการเมือง เช่น คดีนายยงยุทธ ติยะไพรัชทุจริตการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 คดีการเลือกตั้ง 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นโมฆะ

นอกจากเขาจะเป็นทนายมือดีที่ทุ่มเททำคดีเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ถูกรังแกแล้ว ‘นิติธร ล้ำเหลือ’ ยังมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้คดีที่เกี่ยวกับการปกป้องและทวงคืนสมบัติชาติ ไม่ว่าจะเป็นการยับยั้งการแปรรูป กฟผ. ,คดีแปรรูป ปตท. ตลอดจน‘คดีเขาพระวิหาร’ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินกรณีที่ ‘นพดล ปัทมะ’ รัฐมนตรีขายชาติ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเขากำลังเดินหน้าฟันคดีอาญากับนภดลและ ครม.ทั้งคณะ และล่าสุดคดี ‘ยุทธ ใบแดง’ ที่เขาอาสาเข้าไปช่วย ‘ไชยวัฒ์ ฉางข้าวคำ’พยานปากเอกสู้คดีจนชนะ ซึ่งผลของคดีนี้อาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน

แม้จะถูกคุกคาม ขู่ฆ่า ดักยิง แต่ทนายผู้นี้ไม่เคยสะทกสะท้าน แต่กลับเดินหน้าท้าชน พร้อมกับคำท้าทายที่เกิดขึ้นใจใจว่า “เดี๋ยวมึงเจอกู...”

ชื่อของทนายหนุ่มมาดเข้มผู้นี้ เริ่มถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางหลังจากที่ศาลปกครองมีคำสั่งยับยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) ตามที่ ‘รสนา โตสิตระกูล’ ร้องขอ ซึ่งทนายมือดีที่เขียนคำฟ้องก็คือ ‘นิติธร ล้ำเหลือ’ วันนี้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ทนายแผ่นดิน’ ที่มีบทบาทในการทวงคืนสมบัติชาติหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งคดี‘เขาพระวิหาร’ ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินกรณีที่ ‘นพดล ปัทมะ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

ขณะที่นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลแห่งเชียงรายอย่าง‘ยงยุทธ ติยะไพรัช’ ก็ต้องจดจำชื่อของ‘ทนายนิติธร’ ไปอีกนาน เพราะเขาคือผู้เดินหน้าทำคดีจนกระทั่งศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของนายยงยุทธเป็นเวลา 5 ปี เพราะมีหลักฐานชี้ชัดว่ามีการซื้อเสียงตามที่ ‘กำนันไชยวัฒน์ ฉางข้าวคำ’ พยานปากเอกระบุจริง

แต่บางคนอาจไม่ทราบว่าทนายวัย 43 ปี ดีกรีปริญญาโทผู้นี้มีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานภาครัฐมานานกว่า 20 ปี อะไรที่ทำให้เขาทุ่มเททำงานเพื่อสังคมอย่างไม่เห็นแก่ความยากลำบาก ณ วันนี้ ‘นิติธร ล้ำเหลือ’ ได้เปิดใจกับ ‘MANAGER LITE’ อย่างหมดเปลือก

เดินป่า 4 วัน ไปทำคดีให้ชาวเขา

นิติธรย้อนถึงชีวิตในช่วงวัยเยาว์ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินหน้าทำคดีเพื่อช่วยเหลือประชาชน ว่า จากประสบการณ์ในวัยเด็กสอนให้เขารู้ว่าชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมจากกระบวนการทางกฎหมายได้ ตอนเด็กๆเขารู้สึกเจ็บใจแทนคุณแม่ที่ถูกเพื่อนสนิทโกงเงินที่ยืมไปทั้งๆที่มีสัญญาเงินกู้ ขณะที่ตัวเขาเองและเพื่อนๆก็ถูกตำรวจตรวจค้นเพียงเพราะนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสาวัยรุ่น อีกทั้งตำรวจยังแสดงกิริยาหยาบคาย และตบศีรษะพวกเขาเพื่อความสะใจอีกด้วย หลังจบมัธยมปลายนิติธรจึงตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และด้วยประสบการณ์จากการหาข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนต่างๆในช่วงที่เขาทำโครงการมหกรรมภาพถ่าย เมื่อครั้งเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัย ทำให้องค์กรพัฒนาเอกชนที่ใช้ชื่อว่า‘คณะกรรมการยุติธรรมและสันติ’รับเขาเข้าทำงานในเป็นฝ่ายกฎหมายก่อนที่เขาจะเรียนจบปริญญาตรีเสียด้วยซ้ำ

และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเลือกเดินในเส้นทาง ‘ทนายสิทธิมนุษยชน’ โดยในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน นิติธรได้ออกให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่เป็นธรรมทางกฎหมาย ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้อำนาจของข้าราชการและกลุ่มผู้อิทธิพลในพื้นที่ หลังจากที่มั่นใจว่าชาวบ้านที่เขาเข้าไปให้ความรู้ด้านกฎหมายสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว นิติธรจึงย้ายไปทำงานกับ ‘กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม’ หรือ ปศส. องค์กรพัฒนาเอกชนที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ถูกซ้อมเพื่อให้รับสารภาพ การวิสามัญฆาตกรรม การทารุณกรรมกับนักโทษในเรือนจำ

“ทุกคดีนี่ยากลำบากทั้งนั้น อย่างตอนไปทำคดีที่กะเหรี่ยงฤาษีถูกกล่าวหาว่าบุกถล่มสังหาร ตชด.(ตำรวจตระเวนชายแดน) ที่อุ้มผาง จ.ตาก ซึ่งเป็นข่าวใหญ่มากในช่วงปี 2536 มีการปล่อยข่าวว่าพวกนี้เป็นคอมมิวนิสต์เก่า เราต้องเข้าไปทางเขตทุ่งใหญ่นเรศวร แต่รถมาได้แค่เหมืองคิตตี้ จากนั้นก็ต้องเดินเท้าเข้าไป เดินกัน 3- 4 วัน เจอทั้งทากทั้งยุง กว่าจะเข้าพื้นที่ได้ ก็ไปพบความจริงว่ามีการใช้อำนาจรังแกกะเหรี่ยงซึ่งขัดผลประโยชน์ของผู้ใหญ่บ้าน มีการปล่อยข่าวข่มขู่ว่า ตชด.กับผู้บ้านใหญ่จะเข้าไปจับกุมและยิงทิ้งให้หมด กะเหรี่ยงกลุ่มนี้ก็เลยรวมตัวไปเจรจากับ ตชด.แต่ตชด.นึกว่าจะเข้ามาทำร้ายเลยกราดยิงกะเหรี่ยงตายไป 6 คน กะเหรี่ยงซึ่งมีมากกว่าเลยฆ่า ตชด.ที่อยู่ในฐานตายหมด จากนั้นกะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้านก็ถูกจับกุมหมด สู้คดีกันอยู่ 4 ปีกว่า ชาวบ้านถึงได้รับความเป็นธรรม

หรืออย่างคดีเพิกถอนสัญชาติของชาวบ้าน 1,243 คนใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ สู้กันหลายปี คดีนี้ผมหมดไปเป็นล้าน เพราะต้องใช้ทีมงานเยอะ ที่ทำได้เพราะตอนหลังผมมาเปิดสำนักงานทนายของตัวเอง เราทำคดีให้ชาวบ้านฟรีโดยเอารายได้ตรงนี้เข้าไปช่วย แต่ก่อนหน้านั้นผมมีแค่เงินเดือน 6,000 บาท เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปเปิดร้านขายเสื้อที่จตุจักรเพื่อเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำคดี เพราะชาวบ้านที่มาหาเราก็เป็นคนจนทั้งนั้น บางทีไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีค่ารถกลับบ้าน เราก็สงสาร ก็ควักให้ไป แล้วพวกนี้มันเบิกไม่ได้เพราะไม่มีใบเสร็จ (หัวเราะ)
แต่ละคดีก็เหนื่อยสุดๆ เมื่อก่อนผมไว้ผมรองทรงนะ ผมหนามาก (หัวเราะ) แต่ที่มาทำผมสกินเฮดเพราะช่วงที่ทำคดีให้ชาวบ้านผมต้องเดินทางบ่อย เดี๋ยวต้องเข้าไปหาชาวบ้านที่อยู่ในป่าในเขา เดี๋ยวต้องขึ้นเบิกความในศาล เลยไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงไปหมด เวลาขึ้นศาลมันก็ดูไม่สุภาพ ก็เลยตัดสกินเฮดไปเสียเลยหมดเรื่องหมดราว แล้วก็ติดมาจนถึงทุกวันนี้” นิติธร เล่าถึงที่มาของผมทรงสกินเฮด

ทุ่มเททำคดี ทวงคืนสมบัติชาติ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาทำคดีที่เกี่ยวกับการทวงคืนสมบัติชาติหลายต่อหลายคดีนั้น นิติธร ขยายความให้ฟังว่า สืบเนื่องจากเขามีความรู้จักคุ้นเคยกับเอ็นจีโอกลุ่มต่างๆเป็นอย่างดี และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘รสนา โตสิตระกูล’ ซึ่งกำลังเดินหน้ายับยั้งการแปรรูป กฟผ. เขาจึงถูกขอให้มาช่วยเขียนคำฟ้อง และด้วยฝีมือของทนายระดับพระกาฬ ศาลปกครองจึงมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ทำให้รัฐวิสาหกิจชั้นดีแห่งนี้ยังคงเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ถูกผ่องถ่ายไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนเช่นเดียวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย(ปตท.) จากนั้นไม่ว่าจะมีคดีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสมบัติชาติ นิติธรก็จะถูกมอบหมายให้เข้ามาทำคดีด้วยทุกครั้ง รวมถึงคดี‘เขาพระวิหาร’ด้วย

“คดี กฟผ.นี่ เริ่มแรกเลยใส(สุริยะใส กตะศิลา)มันโทร.มา ว่าพี่เขาอยู่ไหน คือผมชื่อเล่นชื่อ ‘นกเขา’ ใสเขาบอกว่าพี่รสนาจะยื่นฟ้องเรื่อง กฟผ.แต่สำนวนฟ้องไม่มีน้ำหนักพอ ศาลไม่รับฟ้อง ให้ผมช่วยเขียนคำฟ้องให้หน่อย เรื่องด่วนมากกำลังจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์วัน สองวันนี้แล้ว ผมก็ตกลง ผมกับทีมทนายก็ไปนั่งค้นกฎหมายกัน ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน เสร็จเอาตอนบ่ายโมงกว่าของอีกวัน ตอนบ่ายก็ไปยื่นฟ้องปรากฏว่าเราชนะคดี ตั้งแต่นั้นมาพอใครจะยื่นฟ้องอะไรที่มันเกี่ยวกับทรัพย์สินของประเทศชาติเขาก็จะหมายตามาที่ผมละ แล้วมันกลายเป็นวัฒนธรรมนะว่าถ้าเรื่องด่วนนี่ให้ส่งมาที่ผม กลายเป็นทนายคดี 24 ชั่วโมง (หัวเราะร่วน) อาจเป็นเพราะเรามีความถนัดในเรื่องประเด็น มองกฎหมายชัด และเขียนสำนวนเร็ว

อย่างคดีเขาพระวิหารเขียนคำฟ้องวันเสาร์ที่ 21 มิถุนาฯ ยื่นฟ้องวันอังคารที่ 24 คือเริ่มแรกมันเกิดจากที่เราเห็นคำแถลงการณ์ร่วมฯที่คุณนพดลเอามาแจกให้สื่อซึ่งมันชี้ชัดว่าไทยเสียดินแดนแน่ ผมก็เข้าไปที่หลังเวทีพันธมิตรฯ ไปหาพี่สุวัตร์(สุวัตร์ อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ) ถามว่าพี่ผมจะฟ้องเรื่องเขาพระวิหารนะ พี่จะเอาด้วยไหม พี่สุวัตร์ก็บอกเฮ้ย...เขา พี่พอมีข้อมูล แต่เขาเขียนคำฟ้องนะ ผมก็โอเค แล้วก็ติดต่อไปที่พี่นคร(นคร ชมพูชาติ) ที่สภาทนายความ พี่คำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะ ส.ว. สุริยะใส ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน และทนายอีกหลายคนมาร่วมยื่นฟ้องด้วย จนในที่สุดศาลปกครองก็มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว

แต่ที่ผ่านมา ช่วงหลังๆนี่พวกพี่ๆมักจะให้ช่วยทำคดีการเมืองค่อนข้างเยอะ อย่างคดีที่ร้องคัดค้านให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.2549 เป็นโมฆะ ล่าสุดก็เป็นคดีใบแดงของคุณยงยุทธ คือกำนันไชยวัฒน์ (ไชยวัฒน์ ฉางข้าวคำ)เข้าไปร้องให้สภาทนายความช่วย เขาก็ให้ผมในฐานะที่เป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ เข้าไปทำคดี ผมถามกำนันไชยวัฒน์ก่อนเลยว่าพี่สู้หรือเปล่า ถ้าฟ้องต้องเจออำนาจมืดเยอะนะ แต่ถ้าพี่สู้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะยืนอยู่ข้างพี่ เขาก็ยืนยันว่าสู้ ก็เลยลุยกัน”

ไม่หวั่นต่อการคุกคามข่มขู่

ปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละคดีที่นิติธรเข้าไปจับนั้นล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และผลจากการทำคดีก็มักจะถูกกลุ่มคนเหล่านี้ตอบโต้กลับมาเสมอ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของการกลั่นแกล้ง ข่มขู่ คุกคาม และบางครั้งถึงขั้นหมายเอาชีวิตเลยทีเดียว

“ที่ผ่านมาเราก็โดนหนักเหมือนกัน โดนข่มขู่ ขับรถไล่บี้ โดนไล่ยิง คือก่อนมาทำคดีเนี่ยผมทำใจแล้วว่ายังไงเราก็ต้องโดนอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนไม่กลัวใคร จะเผชิญหน้ากันแบบไหนก็ได้ ถ้ามาขู่เราก็เฉย ผมจะบอกไปเลยว่า อย่าขู่ ถ้าจะทำอะไรก็ทำเลย แต่อย่าให้ผมทำคุณบ้างนะ อย่างเมื่อปี 2533 ไปทำเรื่องที่ได้รับร้องเรียนว่ามีผู้คุมที่ จ.ยะลา นำผู้ต้องขังหญิงไปเร่ขายบริการ ตอนขับรถกลับก็ถูกไล่ยิง ตอนไปทำคดีวิสามัญฆาตกรรมที่กำแพงเพชรก็มีคนขับรถตามมาจะทำร้ายแต่ก็รอดมาได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งโทร.มาขู่ที่บ้านผม ที่พระประแดง ตอนนั้นกำลังทำคดีตากใบ พอดีคุณพ่อผมรับโทรศัพท์ เขาก็ถามหาผม พ่อบอกไม่อยู่ ทางนั้นก็บอกว่าไปบอกลูกชายด้วยว่าวีรบุรุษเนี่ยเขาเป็นกันตอนตายนะ ที่บ้านเคยโดนระเบิดไหม แต่พ่อผมไม่กลัว เขาก็ตอบกลับไปว่า ไม่ได้เจอหน้าลูกมานานแล้ว คุณเอาเบอร์มือถือไปในนะ แล้วฝากบอกลูกผมด้วยว่าให้มันกลับบ้านมั่ง(หัวเราะขำ)

เวลาโดนขู่เราก็จะบอกไปว่า เฮ้ย..นี่ผมไม่ได้ทำเรื่องส่วนตัวนะ ถ้าเจอหน้าคนพวกนี้ผมก็จะบอกเขาเลยว่าถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณก็ไม่มีทางมาเจอกับผมอยู่แล้ว แต่ที่คุณมาเจอผมก็เป็นเพราะการกระทำของคุณเอง แล้วทุกคดีที่ผมทำเนี่ยการันตีได้เลยว่าคุณโดนแน่ แล้วเดี๋ยวนี้ผมเป็นโรคจิตนะ เวลาเห็นใครโกงกินสมบัติชาติเนี่ย ผมจะรู้สึกว่า ...เดี๋ยวมึงเจอกู! อย่างคุณนพดลกับ ครม.ชุดนี้ที่มีมติเรื่องเขาพระวิหาร จนทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเนี่ย ผมต้องเอาคนพวกนี้เข้าคุกให้ได้ ” นิติธรกล่าวด้วยแววตาที่มุ่งมั่น

ในบางแง่มุม

ใครจะเชื่อว่าเห็นบู๊ๆอย่างนี้ แต่ในช่วงที่ว่างจากการทำคดีนิติธรจะชักชวนน้องๆในทีมทนายมาตั้งวงบรรเลงดนตรี แม้เนื้อที่ในบริษัทสำนักงานทนาย KAT ที่เขาก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงจะไม่กว้างขวางนัก แต่นิติธรก็สามารถสนุกสนานกับการบรรเลงดนตรีหลากหลายชนิด ซึ่งเครื่องดนตรีที่เขาถนัดที่สุดเห็นจะเป็น กีต้าร์โปร่ง และเมาท์ออแกน

“ ผมเป็นคนบ้างาน ทำคดีอะไรแล้วจะกัดไม่ปล่อย จนป่านนี้เลยยังหาเมียไม่ได้เลย” นิติธร บอกพร้อมกับหัวเราะร่วน

แต่หากถามว่าเขาได้อะไรจากการทุ่มเททำคดีเพื่อช่วยเหลือประชาชน นิติธรคงบอกได้แต่เพียงว่ามันคือความสุขใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของชาวบ้านที่ได้รับความเป็นธรรมหลังจากการต่อสู้อันยาวนาน ขณะที่การเดินหน้าท้าชนกับนักการเมืองที่กำลังเขมือบสมบัติชาติ ก็คือสิ่งที่เขามุ่งมั่นกับการทำหน้าที่ในฐานะ‘คนไทย’ที่ลุกขึ้นมาปกป้องสมบัติของแผ่นดิน
ที่มา wikipedia และhttp://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000082425

บันทึกนี้เขียนโดย วิณัฏฐิกา ศรีประเสริฐ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว


วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์


ประวัติ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ " สมัยเป็นนักเรียน แม่พาไปบนกรมหลวงชุมพรฯ ขอเรื่องเดียว ขอให้ได้เป็นทหารเรือ เมื่อได้เป็นแล้วขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด" เป็นนายทหารไทยที่จบ US NAVY SEAL ผ่านทั้งหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม (ปลาฉลามคู่อกซ้ายนั่นแหละ) และ UNDER DEMO/SEAL INDOC,UNWTR DEMOL/SEAL TRNG : สหรัฐอเมริกา (หน่วยซีลที่หนักและโหดที่สุดในโลก Seal Trident USA เครื่องหมายที่อกด้านขวาล่างสุดครับ)
คนที่จะรู้เรื่องนี้ได้น่าจะเป็น “ ชายชุดดำ “ สน.นางเลิ้ง ว่าโดนอะไรเข้าไปบ้าง ที่กล้าจับลูกน้องชายชุดขาวหน่วยซีล ผบ.แก 3 คนมานั่งแถลงข่าว พอลูกน้องโทรหาแกรีบมาถึงภายใน 50 นาที มีชายชุดขาวประมาณ 200 คน ไปล้อม สน.นางเลิ้ง และ ผบ.ก็เอาลูกน้องกลับไปทันที จากนั้นมี "โทรศัพท์ลึกลับ" โทรเข้าสำนักงานชายชุดดำแห่งชาติถามว่า "พวกมึงทำอะไร มึงเอาชายชุดดำมาไล่จับกูทำไม" , " หากอีปูกระเด็นเมื่อไหร่ พวกมึงทั้งสำนักงานชายชุดดำแห่งชาติไม่มีแผ่นดินอยู่ ให้ระวังไว้นะมึง !!!
และต่อมาเมื่อชายชุดดำระดับหมวด ไปลงรถหน้าศาลทหาร มีกลุ่มชายชุดขาวในและนอกเครื่องแบบประมาณ 50 คนรออยู่แล้ว มีชายชุดขาวปรี่เข้ามาจับไหล่ชายชุดดำแล้วถามว่า "พวกมึงแน่นักหรือไง ไปพาพวกมึงมาพบพวกกูได้เลย"
@เสธ น้ำเงิน

"พล.ร.ต.วินัย" เป็นลูกทหารเรือชั้นประทวน ที่เติบโตมาจากชุมชนชาวมอญ ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ด้วยเหตุนี้ "สมัยเด็กคิดเล่นๆ ว่า โตขึ้นจะเป็นทหาร และจะไปกู้ชาติมอญ" แต่ฝันจริงๆ ของเขาคือ อยากเป็นนักเรียนนายเรือ
"สอบเป็นทหารปีแรก ก็สอบเข้าไม่ได้ นอนร้องไห้ แต่ร้องไห้ไปก็ทำใจไป และเริ่มนับถอยหลัง 365 วัน แล้วหลังจากวันนั้น ก็ดูหนังสือทุกวันๆ ห้องสมุดคือที่กวดวิชาของผม และผมก็สอบได้ในปีที่ 2 มาถึงวันนี้ภาคภูมิใจที่สุดแล้ว"
ทำไมมนุษย์กบ ต้องยกพลขึ้นบกที่ราชดำเนิน? เป็นคำถามที่หลายคนกังขา เมื่อตำรวจนางเลิ้งตั้งด่านตรวจจับ "หน่วยซีล" หรือ "มนุษย์กบ" 3 นายที่มาโผล่ในพื้นที่การชุมนุมของ กปปส. แถมเจอ "บัตรการ์ด คปท." อีกต่างหาก
"งานของมนุษย์กบ ก็คืองานสงครามไม่ตามแบบ ซึ่งแบ่งออกเป็นการรบนอกแบบ คือ การป้องกันและปราบปรามความไม่สงบ การปฏิบัติการหน่วยพิเศษเป็นไปตามหน่วยจิตวิทยามวลชน ตามข่าวลับ อะไรทั้งหลายเหล่านี้"
ผบ.หน่วยซีลย้ำว่า หน่วยซีลที่ไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชุมนุม กปปส.คือ"งานการสงคราม"ซึ่งต้องทำกันในยามปกติ โดยเฉพาะงานข่าว
"มันยังไม่ถึงสงครามกลางเมือง แต่มันก็ใกล้เข้ามา ใกล้ถึงจุดที่มันจะมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ"
หน่วยซีลเก็บข้อมูลมาตั้งแต่เหตุการณ์ความไม่สงบ ในเดือนพฤษภาคม 2553 "พล.ร.ต.วินัย" จึงกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า มีการนำเอา "ชายชุดดำ" จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาสร้างสถานการณ์ความรุนแรง และใน พ.ศ.นี้ ก็มีการนำเข้าชายชุดดำอีก
หากประเมินสถานการณ์การเมืองวันนี้ "มนุษย์กบตัวพ่อ" ชี้ว่า "สภาพมันเลวร้ายมากขึ้นๆ จนกระทั่งผมคิดว่า ถ้าคนใช้อำนาจรัฐ ใช้ไปในทางที่ผิด ประเทศก็จะเกิดความเดือดร้อน ประชาชนก็จะระส่ำระสาย เพราะฉะนั้น ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง"
ผู้ที่ใกล้ชิด ผบ.หน่วยซีล ก็ไม่ค่อยแปลกใจกับคำให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลายสำนักในช่วงนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อเหลืองสัตหีบนั้นทราบดีว่า แนวคิดทางการเมืองของ ผบ.หน่วยซีลคนนี้เป็นอย่างไร?
แม้ว่าผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพเรือ พยายามปรามผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ให้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ ผบ.หน่วยซีล ได้แสดงจุดยืนอันมั่นคง
"ผมเป็นทหารของชาติ ทหารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทหารของประชาชนชาวไทย ฉะนั้น ผมนิ่งนอนใจไม่ได้ครับ"
พ.ศ.นี้ ประเทศชาติกำลังจะล่มจม หน่วยซีลที่เปรียบเสมือนเป็นทหารพระเจ้าตาก จึงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้
"การทำงานของมนุษย์กบ คือหน่วยรบพิเศษนักทำลายใต้น้ำจู่โจม เคลื่อนที่เร็วเหมือนกองโจร ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่เหมือนทหารในสมัยของพระเจ้าตากกู้ชาติในอดีต"
ด้วยเกียรติศักดิ์ทหารเรือ "พล.ร.ต.วินัย" รับไม่ได้ที่ตำรวจปฏิบัติกับลูกน้องแบบไม่ให้เกียรติ โดยเฉพาะการนำภาพ "หน่วยซีล" 6 คน ไปติดประกาศราวกับเป็นอาชญากร จึงลุกขึ้นมาดับเครื่องชน ประกาศจะฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
"ความจริงผมตั้งใจจะลาออกจากราชการตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว หลังจากที่ผมทำงานให้หน่วยนี้เสร็จแล้ว คือการเป็น ผบ.นสร.ครบ 4 ปี แต่ผมก็อยู่ต่อ จนขณะนี้เข้าปีที่ 8 แล้ว ผมไม่หนักใจเลย"
เดือนตุลาคมที่ผ่านมา พล.ร.ต.วินัย ต้องขยับขึ้นไปรับตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ "มนุษย์กบตัวพ่อ" ได้กลิ่นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง จึงขอดูแลหน่วยซีลต่อ เพื่อพิทักษ์ชาติ และราชบัลลังก์

รวม Video



พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม (หลวงปู่พุทธะอิสระ)


ประวัติ
พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือที่รู้จักในนามว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

พระสุวิทย์เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2499 เป็นบุตรของนายชมภู และนางอัมพร ทองประเสริฐ อุปสมบทครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปี ที่วัดคลองเตยใน เขตคลองเตย จากนั้นได้สึกไปรับราชการทหาร และอุปสมบทอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2526 มีฉายาว่า พระสุวิทย์ ธมฺมธีโร ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดอ้อน้อยจากที่ดินบริจาคที่ตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยเมื่อ พ.ศ. 2538 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง แทนเจ้าคณะรูปเดิมที่มรณภาพไปเมื่อ พ.ศ. 2542

พระสุวิทย์ ได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง  พร้อมกับสึกและอุปสมบทใหม่ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 มีฉายาใหม่ว่า พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม


วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สาธิต เซกัล


 27 พฤษภาคม 2557
"ขอกราบคารวะพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทุกท่าน ก่อนอื่นขอชื่นชมพี่น้องทหารที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองที่ปั่นป่วน เนื่องจากเกิดความไม่สงบจนทำให้ประชากรผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนยี่สิบกว่าคนและยังมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหลายร้อยคน กระผมเชื่อว่าพลเอกประยุทธ ท่านมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหานานาชนิดของบ้านเมือง และจะนำความสงบ ความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว กระผมขอชื่นชมบทบาทของท่านในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และนำประเทศไทยที่รักยิ่งของพวกเราให้กลับมาเป็นประเทศที่ประชากรอยู่เย็นเป็นสุุข มีโอกาสในการดำเนินชีวิตโดยไม่โดนคุกคาม มีรายได้ดี การค้าเจริญเติบโต ส่วนด้านต่างประเทศ กระผมเชื่อว่าจะมีนักลงทุนจากต่างประเทศจะหันมาลงทุนในบ้านเรามากขึ้น ในด้านการท่องเที่ยวทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เนื่องจากประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวดีกว่าอีกหลายประเทศ มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกประการ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวต่างประเทศชื่นชมและนิยม และสิ่งสำคัญที่สุดพ่อแม่พี่น้องชาวไทยต้อนรับชาวต่างประเทศด้วยความอบอุ่นและจริงใจ จึงทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักและเรียกประเทศไทยเป็นสยามเมืองยิ้ม

ในช่วงสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป กระผมจะอาสาเดินทางไปประเทศอินเดียและประเทศข้างเคียงอีกห้าประเทศ เพื่อทำความเข้าใจให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้รู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศดังกล่าวได้มีความมั่นใจ ในการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวให้ดีขึ้น ถือว่าเป็นหน้าที่ของกระผมในฐานะชาวต่างประเทศที่มาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่มาร่วมห้าสิบกว่าปีแล้ว และในฐานะผู้นำนักธุรกิจของภาคเอกชน ในการเดินทางครั้งนี้กระผมจะใช้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อแสดงความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจ
กระผมขอขอบคุณและชื่นชมท่านพลเอกประยุทธและคณะที่ได้ประกาศมาตรการในการเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมาหากษัตริย์ที่เป็นที่รักและเคารพของพ่อแม่พี่น้องชาวไทยและของพวกเราชาวต่างประเทศที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย การจาบจ้วงสถาบันเป็นสิ่งที่รับไม่ได้และจะต้องมีการจับกุมผู้ดูหมิ่นและจาบจ้วงอย่างเด็ดขาด กระผมเคยแสดงความกังวลในเรื่องนี้กับท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดในวันที่ท่านได้เปิดสัมมนาเพื่อหาทางออกให้ประเทศไทย กระผมจึงต้องขอขอบคุณมาอีกครั้ง ว่าวันนี้สิ่งที่กระผมอยากเห็นได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องยั่งยืนอยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการปกป้องอธิปไตยและการอยู่รอดของประเทศ ที่ไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณานิคมและยังมีบทบาทสำคัญในด้านสังคม ศาสนา เป็นสถาบันที่ผูกมัดให้ชาวไทยเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด"
---------------------
ที่มา : ทีนิวส์. 28 พฤษภาคม 2557 9.08 น.

ประวัติ
สาธิต เซกัล (ฮินดี: सतीश सहगल; อังกฤษ: Satish Sehgal; เกิด 14 เมษายน — ) เป็นนักธุรกิจสิ่งพิมพ์ชาวอินเดีย ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เคยดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าอินเดีย-ไทย หอการค้าไทย-อิสราเอล และประธานสมาคมนักธุรกิจอินเดีย-ไทย

เซกัลเกิดที่เดลี ประเทศอินเดีย เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 5 ปี ครอบครัวเป็นชาวไทยฮินดูเชื้อสายอินเดียจากรัฐปัญจาบ จบการศึกษาจากวิทยาลัย Hans Raj มหาวิทยาลัยเดลี เคยทำงานที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ก่อนจะมาเปิดธุรกิจนิตยสารภาษาอังกฤษเป็นของตัวเอง

รวม Video

การแสดงความขอบคุณไม่ใช่เฉพาะการพูดคำว่าขอบคุณ แต่จะต้องแสดงออกถึงความกตัญญูด้วย

ทำไมถึงต้องปฏิรูป

ทำผิดอะไรถึงต้องเนรเทศ

รู้จักกับ "สาธิต เซกัล" นายกสมาคมนักธุรกิจอินเดีย-ไทย

บทสัมภาษณ์ สาธิต เซกัล ที่ดูแล้วต้องร้องตาม

ลุงแขกรักชาติ สาธิต เซกัล นักธุรกิจสีลม ณ เวทีประชาชน ราชดำเนิน

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา



คำแถลงการ วันที่ 30 พฤษภาคม 2557

ประวัติ
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2497 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายของ พ.อ. (พิเศษ) ประพัฒน์ กับเข็มเพชร จันทร์โอชา มีชื่อเล่นว่า "ตู่" สื่อมวลชนนิยมเรียกว่า "บิ๊กตู่" เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมดสี่คน หนึ่งในน้องชายคือ พล.ท. ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3

ประยุทธ์ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนสหะกิจวิทยา จังหวัดลพบุรี ต่อมาได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัยในจังหวัดเดียวกัน แต่เรียนได้เพียงปีเดียวก็ลาออกเนื่องด้วยบิดาเป็นนายทหารจำต้องโยกย้ายไปในหลายจังหวัด เขาจึงเข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ กรุงเทพมหานคร จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภายหลังได้เข้าเรียนเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) และเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 23

ประยุทธ์มีอุปนิสัยที่เงียบขรึม ด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโตจึงต้องทำตัวเป็นพี่ที่ดี ในวัยเยาว์เขาเป็นคนเรียนเก่งมีความถนัดและความชอบในวิชาคณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ จากการสนับสนุนของบิดามารดา

ชีวิตส่วนตัวสมรสกับ รศ.นราพร จันทร์โอชา อดีตอาจารย์ประจำสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตรสาวฝาแฝด คือ ธัญญา จันทร์โอชา (ชื่อเล่น: พลอย) และนิฏฐา จันทร์โอชา (ชื่อเล่น: เพลิน) ซึ่งทั้งสองเป็นสมาชิกวงแบดซ์ (Badz) วงดนตรีในสังกัดอาร์เอส

การทำงาน
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับราชการทหารอยู่ที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ "ทหารเสือราชีนี" มาโดยตลอด โดยเริ่มมาจากตำแหน่งผู้บังคับการกองพัน จนถึงผู้บังคับการกรม จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และรับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1

ในรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ที่มี พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งขณะนั้นมียศเป็น "พลตรี" ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการยึดอำนาจด้วยรับคำสั่งตรงจาก พล.ท. อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 หลังจากนั้นเมื่อ พล.ท. อนุพงษ์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและเลื่อนชั้นยศเป็น "พลเอก" พล.ต. ประยุทธ์ก็ได้เลื่อนชั้นยศขึ้นเป็น "พลโท" และรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ด้วย

พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายทหารที่มีความสนิทสนมกับ พล.อ. อนุพงษ์ เป็นอย่างมาก ด้วยความเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามาตลอดในกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดย พล.อ. ประยุทธ์นับถือ พล.อ. อนุพงษ์เสมือนพี่และอาจารย์คนหนึ่งของตน โดย พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายทหารที่มีบุคลิกที่อ่อนนุ่มโดยมักติดคำว่า "นะจ๊ะ" ต่อท้ายการพูด จึงได้รับอีกชื่อหนึ่งจากสื่อมวลชนว่า "ตู่นะจ๊ะ"

พล.อ. ประยุทธ์ ได้รับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 ถึง 14 กันยายน พ.ศ. 2551 และรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อจาก พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึง 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554 และเป็นหนึ่งในคณะดำเนินคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2554

พล.อ. ประยุทธ์ เป็นผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.) ในการประกาศกฏอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 หลังการหารือกับตัวแทน 7 ฝ่ายไม่เป็นผล พล.อ. ประยุทธ์มีประกาศให้เขามีอำนาจของนายกรัฐมนตรี



เมื่อเวลา 21.45 น. วันที่ 30 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อ่านคำแถลงชี้แจงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยถึงเหตุผลการเข้าควบคุมอำนาจ และอธิบายหลักการบริหารประเทศ 3 ระยะ ในรายการ”คืนความสุขให้คนไทย”

Cr: http://chaoprayanews.com/




วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เปรม ติณสูลานนท์




พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เปรม ติณสูลานนท์ (26 สิงหาคม พ.ศ. 2463 — ) ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่ 16 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย ระหว่างปี พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2531และเป็นนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของรัฐสภาที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด ทั้งนี้เพราะกฎหมายไทยในสมัยนั้นไม่ได้กำหนดให้รัฐสภาต้องเลือกนายกรัฐมนตรี จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

บุคลิกส่วนตัวพลเอกเปรมเป็นคนพูดน้อย ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จะให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนน้อยมาก จนถูกหนังสือพิมพ์ในขณะนั้นเรียกขานว่า เตมีย์ใบ้  และได้รับอีกฉายาหนึ่งว่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากเหตุการณ์กบฏเมษาฮาวายและกบฏ 9 กันยา

หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี



พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ กับนางวินิจทัณฑกรรม (ออด ติณสูลานนท์) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา สงขลา ในหมายเลขประจำตัว 167 และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2480 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า (โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2477 ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)

พลเอกเปรม จบการศึกษาหลักสูตรพิเศษโรงเรียนเทคนิคทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2484 และเข้ารบในสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ ปอยเปต กัมพูชา จากนั้นเข้าสังกัดกองทัพพายัพ ภายใต้การบังคับบัญชาของหลวงเสรีเริงฤทธิ์ ทำการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2485-2488 ที่เชียงตุง

ภายหลังสงคราม พลเอกเปรมรับราชการอยู่ที่อุตรดิตถ์ และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่โรงเรียนยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐ ที่ ฟอร์ตน็อกซ์ รัฐเคนทักกี พร้อมกับพลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ และพลเอกวิจิตร สุขมาก เมื่อ พ.ศ. 2495 แล้วกลับมารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ ต่อมามีการจัดตั้งโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า ที่จังหวัดสระบุรี

พลเอกเปรมได้รับพระบรมราชโองการเป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ยศพลตรี เมื่อ พ.ศ. 2511 ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้านี้ ท่านมักเรียกแทนตัวเองต่อผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าว่า "ป๋า" และเรียกผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าอย่างเอ็นดูและเป็นกันเองว่า "ลูก" ที่จนเป็นที่มาของคำว่าป๋า หรือ ป๋าเปรม และคนสนิทของท่านมักถูกเรียกว่า ลูกป๋า และเรียกติดปากกันมาจนถึงปัจจุบัน

พลเอกเปรม ย้ายไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ในปี พ.ศ. 2516 และเลื่อนเป็นแม่ทัพภาคทึ่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสานเมื่อ พ.ศ. 2517 ได้เลื่อนยศเป็นพลเอก ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2520 และเลื่อนเป็นผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2521



ตำแหน่งทางการเมือง

ในปี พ.ศ. 2502 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรมได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ และวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2511 - 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร

พลเอกเปรมเข้าร่วมการรัฐประหารในประเทศไทย 2 ครั้ง ซึ่งนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ล้มรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ล้มรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร

พลเอกเปรม รับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลนั้น ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

ในช่วงนั้น พลเอกเปรมได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย หลังจากพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 สภาผู้แทนราษฎรทำการหยั่งเสียงเพื่อหาตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเลือกพลเอกเปรม โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย

พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจาก พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2523 ตลอดระยะเวลาที่บริหารประเทศได้มีผลงานสำคัญมากมาย เช่น การปรับปรุงประมวลกฎหมายรัษฎากรและกฎหมายสรรพสินค้า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม การสร้างงานตามโครงการสร้างงานในชนบท (กสช.) การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาล และเอกชน (กรอ.) เพื่อส่งเสริมบทบาททางการค้าและการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศ การดำเนินการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ภายในประเทศอย่างได้ผล โดยนำนโยบายการใช้ "การเมืองนำการทหาร" ตามคำสั่งนโยบายที่ 66/2523 เป็นผลให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอ่อนกำลังลงและสลายตัวไปในที่สุด



ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

พล.อ.เปรม ขณะปฏิบัติภารกิจเยือนต่างประเทศเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สมัยที่ 1
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 42: 3 มีนาคม 2523 - 29 เมษายน 2526 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 19 มีนาคม 2526 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับการเสนอให้ยืดอายุการใช้บทเฉพาะกาลของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มีการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526

สมัยที่ 2
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 43: 30 เมษายน 2526 - 4 สิงหาคม 2529 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 เนื่องจากรัฐบาลแพ้เสียงในสภา ในการออกพระราชกำหนดการขนส่งทางบก มีการเลือกตั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529

สมัยที่ 3
คณะรัฐมนตรี คณะที่ 44: 5 สิงหาคม 2529 - 3 สิงหาคม 2531 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 29 เมษายน 2531 เนื่องจากเกิดปัญหาขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ เกิดกลุ่ม 10 มกรา ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างเป็นเอกเทศภายในพรรค กลุ่ม 10 มกรา นี้ลงมติไม่สนับสนุนพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ที่รัฐบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา จนทำให้พระราชบัญญัติไม่ผ่านการเห็นชอบ พรรคประชาธิปัตย์แสดงความรับผิดชอบโดยการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พลเอกเปรมจึงประกาศยุบสภา มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531

ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเปรม ขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง มีกระแสการคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 จากกลุ่มนักวิชาการ

ภายหลังการเลือกตั้ง ในคืนวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 หัวหน้าพรรคการเมืองที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคชาติไทยเป็นแกนนำ ได้เข้าพบพลเอกเปรมที่บ้านพัก เพื่อเชิญให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 แต่พลเอกเปรมปฏิเสธ ต่อมาในวันที่ 4 สิงหาคม 2531 จึงได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17

หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี




ผลงานของรัฐบาลเปรม ติณสูลานนท์

1.การปรับปรุงประมวลกฎหมายรัษฎากรและกฎหมายสรรพสินค้า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม

2.การสร้างงานตามโครงการสร้างงานในชนบท (กสช.) โดยสานต่อจากนโยบายเงินผันที่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของหม่อราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

3.การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชน (กรอ.) เพื่อส่งเสริมบทบาททางการค้าและการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศ

4.การแก้ปัญหาการตกต่ำทางเศรษกิจในข่วงแรกที่เข้าบริหารประเทศ รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายประหยัดมุ่งเน้นในด้ารการผลิตและการส่งออกของสินค้ากับประเทศสังคมนิยมตะวันออกอย่างได้ผล ทำให้รัฐบาลชุดนี้สามารถสร้างเสริมกำลังทางด้าน เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศได้อย่างน่าภูมิใจ จึงนับว่ารัฐบาลสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นผู้สร้างฐานเศรษกิจของชาติที่สำคัญ ทำให้ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองที่เป็นเงินตราต่างชาติมากขึ้น รัฐบาลได้สนับสนุนการส่งออก

5.การเข้าร่วมประชุมองค์การสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา ทั้งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ยังได้เป็นผู้กล่าวปราศรัยสุนทรพจน์ในที่ประชุมด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้นต่อสายตาต่างชาติ มุมมองทางด้านการลงทุนจากนักลงทุนท้งหลายต่อท่าทีของภาวะทั่วไปของเศรษฐกิจไทยในด้ารการผลิตและการอุตสาหกรรมนั้นแจ่มใสและชัดเจนมากขึ้น

ผลงานสำคัญชิ้นหนึ่ง ของพลเอกเปรม คือการผลักดันนโยบาย “การเมืองนำการทหาร” ซึ่งปรากฏออกมาในรูป คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 65/2525 เพื่อยุติการทำสงครามสู้รบ ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับ ฝ่ายรัฐบาล ผลพวงจากนโยบายดังกล่าว ทำให้นักศึกษา ที่หนีเข้าป่าภายหลังเหตุการณ์ 6 ตค.2519เพื่อจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาล มีโอกาสหวนมาเดินบนหนทางแห่งสันติภาพได้ นโยบายดังกล่าว ช่วยลด กระทั่งดับเชื้อไฟสงครามกลางเมืองในช่วงนั้นลง เพื่อให้รัฐบาลสามารถทุ่มเทกำลัง มาฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ในช่วงปี 2524 การส่งออกของไทย โดยเฉพาะพืชผลเกษตรประสบปัญหา ขณะเดียวกัน มีปัญหาการขาดดุลการค้า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เงินบาทของไทย ผูกติดกับดอลลาร์ของสหรัฐฯซึ่งแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบ พลเอกเปรม ได้ตัดสินร่วมกับทีม รมต.เศรษฐกิจ ที่จะลดค่าเงินบาทถึงสามครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่สาม ในวันที่ 2 พย. 2523 ซึ่งมีการปรับลดถึงร้อยละ 15

นอกจากนั้น รัฐบาลพลเอกเปรมยังได้ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนจาก “อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ “ระหว่างเงินบาทกับเงินเหรียญสหรัฐ มาเป็น “ระบบตะกร้าเงิน” ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

โครงการสำคัญ เช่น การพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก การสร้างท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด และ แหลมฉบัง ล้วนตัดสินดำเนินโครงการ ในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรมทั้งสิ้น




บทบาทในวิกฤตการณ์การเมืองและการรัฐประหาร พ.ศ. 2549

หลังการทำรัฐประหาร พ.ศ. 2549 มีนักวิชาการกล่าวหาพลเอกเปรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับ วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 ที่นำไปสู่ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งในเวลาพลบค่ำวันที่ 19 กันยายน ช่วงเดียวกับที่กำลังทหารหน่วยรบพิเศษจาก จ.ลพบุรี ได้เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ พลเอกเปรม ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า พลเอกเปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหารโดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศร์

ในเวลาต่อมา ยังเป็นที่กล่าวหาอีกว่า พลเอกเปรม อาจมีบทบาทสำคัญ ในการเชิญ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตลูกน้อง มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง การแต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อีกด้วย จนกระทั่ง นักวิจารณ์ บางคน ถึงกับกล่าวว่า สภาฯ ชุดนี้ เต็มไปด้วย "ลูกป๋า"

ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาททางการเมือง ในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 และมีบทวิเคราะห์จากสำนักข่าว XFN-ASIA ระบุในเว็บไซต์ นิตยสารฟอร์บ ว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ตามรัฐบาลคณะทหาร ได้อ้างว่า พลเอกเปรมไม่เคยมีบทบาททางการเมือง

วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นปก. นับพันคน รวมตัวประท้วงหน้าบ้านของพลเอกเปรม เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เนื่องจากเชื่อว่ามีบทบาททางการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุม มีการยิงแก๊สพริกไทยแล้วล้อมรถบรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงของแกนนำ ผู้ชุมนุมขว้างปาขวดพลาสติกและขวดแก้วใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เกิดการปะทะกันชุลมุนวุ่นวาย เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายคน ด้านแยกสี่เสาเทเวศร์ กลุ่ม นปก.ส่วนหนึ่งทุบทำลายซุ้มตำรวจจราจรและทุบรถส่องไฟและกระจายเสียงของตำรวจที่จอดไว้ รวมทั้งปล่อยลมยางรถยนต์ ในวันต่อมา พลเอกสนธิ พลเอกสุรยุทธ และคณะรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมพลเอกเปรม เพื่อขอโทษที่ยอมให้มีการประท้วง




ชีวิตส่วนตัว

พล.อ.เปรม ในเครื่องแบบนายพลเรือเอกสีขาว
พลเอกเปรม ชื่นชอบดูการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะกีฬามวยและฟุตบอล มักเปิดโอกาสให้นักกีฬาเข้าพบเพื่อคารวะ และให้กำลังใจ ก่อนจะเดินทางไปแข่งขันในต่างประเทศอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังชื่นชอบการร้องเพลง ระยะหลังได้ฝึกหัดเล่นเปียโนกับ ณัฐ ยนตรรักษ์ และประพันธ์เพลงเป็นงานอดิเรก พลเอกเปรมมีผลงานเพลงบันทึกเสียงจำหน่าย บรรเลงดนตรีโดย กองดุริยางค์ทหารบก

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี




ประวัติ
---------------
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี มีชื่อเล่นว่า เอ๋ เกิดวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2521 เป็นบุตรของ นายสมพงศ์ สุวรรณภักดี อดีตอัยการ กับ นางภคินี สุวรรณภักดี อดีตรองกรรมการผู้จัดการธนาคารมหานคร

อรรถวิชช์ สมรสกับพิณ สุวรรณภักดี (สกุลเดิม บูรพชัยศรี) มีบุตร 2 คน

---------------
การศึกษา
---------------
มัธยมศึกษา : โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ปริญญาตรี : นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท : นิติศาสตรมหาบัณฑิต (สาขากฎหมายการธนาคารและการเงิน) มหาวิทยาลัยบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ประกาศนียบัตรชั้นสูง หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง สถาบันพระปกเกล้า ปปร. รุ่น12
ประกาศนียบัตร หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน วตท. รุ่น13
ประกาศนียบัตรผู้ผ่านการฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
ประกาศนียบัตรแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งด้านนโยบายสาธารณะโดยสันติวิธี สถาบันพระปกเกล้า
ประกาศนียบัตร หลักสูตรการพัฒนากรรมการบริษัทมืออาชีพ (Directors Certification Program) DCP รุ่น107 สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD: Thai Institute of Directors Association)

นายอรรถวิชช์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และได้เริ่มเข้าช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ได้แนะนำให้ไปเรียนต่อระดับปริญญาโท จนสำเร็จการศึกษา นิติศาสตร์มหาบัณฑิต (กฎหมายการธนาคารและการเงิน) จาก มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา

---------------
การทำงาน
---------------
นายอรรถวิชช์ เคยรับราชการสังกัดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง มีผลงานเด่นหลายเรื่อง อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน การกำกับดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลให้อยู่ในระดับร้อยละ28 ต่อปี ซึ่งโดยมากในยุคนั้น สินเชื่อส่วนบุคคล เช่น บัตรอิออน และแคปปิตอล โอเค จะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูง และการควบรวมกิจการบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ธนาคารทหารไทย และธนาคารดีบีเอสไทยทนุ รวมถึงงานร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน การธนาคาร หลายฉบับ

พ.ศ. 2551 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 4 คือ เขตพญาไท, บางซื่อ, จตุจักร, หลักสี่ ในนามพรรคประชาธิปัตย์ โดยร่วมทีมกับนายบุญยอด สุขถิ่นไทย และนายสกลธี ภัททิยกุล สามารถชนะเลือกตั้งแบบยกทีม

พ.ศ. 2554 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 9 คือ จตุจักร

อรรถวิชช์ มีงานอดิเรกคือ การสะสมรถโบราณ โดยได้ดำรงตำแหน่งเป็น เลขาธิการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย และเป็นเลขาธิการที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย

---------------
ตำแหน่งอื่นๆ ในอดีต
---------------
ประธานกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย
กรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า
กรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
กรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ
กรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน
โฆษกคณะรัฐมนตรีเงา พรรคประชาธิปัตย์
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์
ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
คณะกรรมการประสานงานฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน)
คณะกรรมการประสานงานฝ่ายรัฐบาล (วิปรัฐบาล)
กรรมาธิการวิสามัญพิจารณา
1.ร่าง พรบ.สหกรณ์
2.ร่าง พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
3.ร่าง พรบ.คุ้มครองการดำเนินงานของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4.ร่าง พรบ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตดินแดง เขตราชเทวี เขตวัฒนา เขตคลองเตย เขตปทุมวัน และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร
5.ร่าง พรบ.การเดินอากาศ
6.ร่าง พรบ.ว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย
7.ร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงค์ตำแหน่งทางการเมือง
8.ร่าง พรบ.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
9.ร่าง พรบ.คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
10.ร่าง พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
11.ร่าง พรบ.คุ้มครองแรงงาน
12.ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
13.ร่าง พรบ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ
14.ร่าง พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
15.ร่าง พรบ.ระเบียบข้ราชการฝ่ายอัยการ
16.ร่าง พรบ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
17.ร่าง พรบ.ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร
18.ร่าง พรบ.กองทุนการออมแห่งชาติ
19.ร่าง พรบ.การชุมนุมสาธารณะ
20.ร่าง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม
21.ร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และส.ว.
22.ร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
23.ร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

ดร.สมเกียติ อ่อนวิมล




ประวัติ
เกิด : 2 เมษายน พ.ศ.2491 อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
ครอบครัว : ภรรยา : ธัญญา (ธัญญขันธ์) อ่อนวิมล บุตรชาย : ธัญญ์ อ่อนวิมล
งานปัจจุบัน 1.ผลิตภาพยนตร์สารคดี และ รายการโทรทัศน์ 2.บรรยายพิเศษ เรื่อง : สื่อสารมวลชน, การเมือง, ความสัมพันธระหว่างประเทศ, ASEAN | มหาวิทยาลัยเกริก, มหาวิทยาลัยนเรศวร
ที่ทำงาน : บริษัทไทยวิทัศน์ จำกัด 89/81 Vista Park@แจ้งวัฒนะ ถ.แจ้งวัฒนะ-เลี่ยงเมืองปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทรศัพท์ 02-584-3643, 080-207-6663 โทรสาร 02-962-6363
การศึกษา 2505-2507 มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
2507-2509 ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นต้น วิทยาลัยครูจันทรเกษม กรุงเทพ
2509-2510 มัธยมปลาย High School Diploma, Park Hills High School, Parkville, Missouri, U.S.A.
2511-2514 ปริญญาตรี B.A.(Hons.)(Political Science ), University of Delhi, Delhi, India
2514-2516 ปริญญาโท M.A. (Political Science), University of Delhi, Delhi, India
2518-2524 ปริญญาเอก Ph.D. (South Asia Regional Studies), University of Pennsylvania, U.S.A.
ทุนการศึกษา
2509-2510 American Field Service International Scholarship, U.S.A.
2511-2516 Government of India General Cultural Scholarship, India
2518-2524 Harvard-Yenching Institute Fellowship, Harvard University, U.S.A.
งานมหาวิทยาลัยรัฐ 2516-2528 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
งานมหาวิทยาลัยเอกชน
2542-2543 คณบดีคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต
2542 อาจารย์พิเศษ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
2549-ปัจจุบัน อาจารย์พิเศษ วิชาสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก
2550-ปัจจุบัน อาจารย์พิเศษ วิชาการสื่อสารระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยนเรศวร
งานสื่อสารมวลชน วิทยุกระจายเสียง
2523-2545 ผลิตและดำเนินรายการข่าวสารทางสถานีวิทยุต่างๆ
2534 ร่วมจัดตั้งและผลิตรายการ จ.ส.100 วิทยุข่าวสารและการจราจร
งานสื่อสารมวลชน วิทยุโทรทัศน์
2526-2528 ดำเนินรายการสารคดีโทรทัศน์ "ความรู้คือประทีป" ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท.
2528-2531 กรรมการผู้จัดการบริษัท Pacific Intercommunication Co.,Ltd. ผลิตรายการเป็นผู้สื่อข่าวและผู้ประกาศข่าว "ข่าวภาคค่ำ" ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท.
2532 ผู้จัดการฝ่ายข่าว และผู้ประกาศข่าว สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (กุมภาพันธ์-มีนาคม)
2532 ผลิตสารคดีออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส.ท.ท.11
2533-2538 ผลิตข่าวและประกาศข่าวร่วมกับฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5
2539 ผลิตรายการสารคดีและให้คำปรึกษาแก่ฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ส.ท.ท.11
2539-ปัจจุบัน ประธานกรรมการบริหาร | บริษัท ไทยวิทัศน์ จำกัด | ผลิตรายการสารคดีโทรทัศน์อิสระ
2543 ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานข่าว และ ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ITV (กรกฎาคม-สิงหาคม)
2546-2552 ผู้ควบคุมการผลิต BEC-TERO Entertainment Co., Ltd.
2552-ปัจจุบัน ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี และรายการโทรทัศน์ งานการเมือง
2540 สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจังหวัดสุพรรณบุรี
2543-2549 สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสุพรรณบุรี
2550-2551 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

รางวัล 2527 รางวัลเมขลา ผู้ดำเนินรายการความรู้ทั่วไปดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2528 รางวัลเมขลา ผู้ประกาศข่าวชายดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2529 รางวัลเมขลา ผู้ประกาศข่าวชายดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2531 รางวัลผู้ประกาศข่าวชายยอดนิยม จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
2531 รางวัลประกาศกิติคุณสังข์เงินสัมพันธ์ สาขาวิทยุโทรทัศน์ สมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย
2533 รางวัลเมขลา ผู้บรรยายรายการสารคดีดีเด่น จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
2533 รางวัลโทรทัศน์ทองคำเกียรติยศด้านผลิตรายการข่าว จากคณะกรรมการโทรทัศน์ทองคำ
2533 ASEAN Awards for Communications (Broadcasting) จากสมาคม ASEAN
2534 ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาพัฒนาคุณภาพชีวิต จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
2540 รางวัลนักรัฐประศาสนศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2540 สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
2554 รางวัลสุรินทราชา: นักแปลอาวุโสดีเด่น สมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย



บทความที่หน้าสนใจ


มหาตมะ คานธี กับ สัตยาเคราะห์ แบบ อหิงสา
Non-Violence Resistance โดย M.K. Gandhi


การชุมนุมล้มระบอบทักษิณ และขับไล่รัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ในนาม“มวลมหาประชาชนไทย” มีศูนย์กลางอยู่บนถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร กำลังประกาศการรวมพลังครั้งใหญ่ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2556 โดยคาดว่าจะรวมพลังมวลมหาประชาชนทั่วประเทศได้ถึง 1 ล้านคน เฉพาะในกรุงเทพฯ โดยคณะผู้จัดกระบวนการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและครอบครัวพี่ชายนายกรัฐมนตรีและระบบการปกครองประเทศที่พี่ชายนายรัฐมนตรีกำกับดูแลแบบโพ้นทะเล ทั้งที่เป็นนักโทษหลบหนีคดีอาญาอยู่นอกประเทศไทย 

เป็นการต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทยสมัยใหม่ 


คณะกรรมการจัดการชุมนุมและบรรดาผู้ขึ้นเวทีปราศรัยจำนวนนับร้อยคน นอกจากจะได้สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังได้สร้างปรากฏการณ์ทางวิชาการที่น่าศึกษาอีกด้วย เพราะที่ชุมนุมได้อ้างอิงหลักปรัชญาการเมือง หลักรัฐศาสตร์ และหลักประชาธิปไตย ซึ่งปรกติจะซับซ้อนเข้าใจไม่ง่ายนักสำหรับเวทีสาธารณะขนาดมหึมาเช่นนี้ แต่ก็น่าทึ่งที่ผู้ปราศัยหลายคนเป็นนักคิดและนักวิชาการชั้นนำของประเทศไทย นอกเหนือจากอารมณ์ร่วมอุดมการณ์พื้นฐานทางการเมืองที่มุ่งต่อต้านการทุจริตคดโกงของรัฐบาล ผู้บงการเบื้องหลังนายกรัฐมนตรี และนักการเมืองสังกัดพรรครัฐบาลแล้ว นักวิชาการเหล่านั้นก็สามารถปราศรัยให้ความรู้ทางวิชาการได้อย่างเข้าใจง่ายและเพลิดเพลิน แม้จะผิดหลักอหิงสาอยู่บ้างตรงที่ใช้ความรุนแรงทางวจีกรรม แต่มวลมหาชนก็ได้รับอานิสงความรู้ทางปรัชญารัฐศาสตร์ด้วยทุกวัน 

ประมวลจากการปราศรัยตั้งแต่วันแรกเริ่มมาจนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 หากไม่นับรวมพระพุทธเจ้า และ พระศาสดาโมฮัมหมัด ผมสรุปได้ว่ามีนักปรัชญา นักคิดและนักปฏิบัติทางการเมืองคนสำคัญของโลก มีอิทธิพลทางความคิดต่อการจัดการมวลมหาประชาชนไทยโดยเฉพาะที่เวทีราชดำเนินอยู่ 8 คน คือ Voltaire, Thomas Hobbes, Thomas Jefferson, Abraham Lincoln, John Locke, Henry David Thoreau, Mahatma Gandhi, และ John Rawls (ไม่ได้เรียงชื่อตามลำดับความสำคัญ). 

สามคนหลังนับว่ามีอิทธิพลมากที่สุด เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดความคิดเรื่องกระบวนการดื้อแพ่งของประชาชนผู้มีอารยธรรม ซึ่งนักวิชาการสันติศึกษาในประเทศไทยเรียกว่า “อารยะขัดขืน”  จากรากศัพท์เดิมของ Henry David Thoreau ว่า “Ciivil Disobedience” ซึ่งควรแปลว่า “การดื้อแพ่งแบบมีอารยะ” หรือ “อารยะดื้อแพ่ง”  หรือ “อารยะขัดขืนและฝ่าฝืน” หรือ “อารยะขัดฝืน” ก็ได้  ผมใช้คำว่า “ขบวนการดื้อแพ่ง” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 ครั้งที่เริ่มเป็นอาจารย์สอนวิชาเอเชียใต้ศึกษา - การเมืองการปกครองอินเดีย - และปรัชญาอินเดีย ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

คำว่า “ดื้อแพ่ง” แปลได้ตรงตัว ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542  ส่วน “civil” ก็แปลได้ตรงตัวว่า “พลเมือง” ก็ได้, “ผู้มีการศึกษามีวัฒนธรรมหรือมีอารยธรรม” ก็ได้ เนื่องจากเรื่องนี้แม้จะเก่านานเกือบสองร้อยปีแล้ว แต่สังคมไทยยังไม่คุ้นเคยทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ นิยามศัพท์จึงยังไม่ลงตัว แต่เราก็นิยมเอาคำว่า “อหิงสา” มาใช้อย่างฉาบฉวยในการต่อสู้ทางการเมืองมานานแล้ว ใช้โดยไม่รู้ความหมาย ไม่เข้าใจพลังที่แท้จริงของคำ การใช้อหิงสาเป็นอาวุธทางการเมืองในประเทศไทยจึงล้มเหลวตลอดมา 

การลุกขึ้นต่อสู้ล้มระบอบทักษิณโดยพลเมืองไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ก็ทำนองเดียวกัน มีการนำคำว่า “อหิงสา” มาใช้โดยอ้างมหาตมะ คานธี ทุกวัน แต่ไม่มีใครเข้าใจว่าคืออะไร และต้องทำอย่างไร ไม่มีการอธิบายบนเวทีปราศัย นอกจากจะบอกว่า “เราใช้สันติวิธี...ใช้หลักอหิงสา… ชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ….. ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน” (แต่ก็มีแผนเคลื่อนย้าย) มวลชนไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมทางปรัชญา ไม่มีประสบการณ์ความพ่ายแพ้หรือบาดเจ็บล้มตายจากอหิงสามาก่อน 

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอหิงสาก็บาดเจ็บได้ ตายได้ 

การพูดถึงอหิงสา ก็มิได้พูดถึง “สัตยาเคราะห์” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญทั้งในเชิงยุทธศาสตร์ และในกระบวนการภาคปฏิบัติ ซึ่งมีรายละเอียดซับซ้อนหลากหลาย ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา คนไทยได้ยินแต่ “อหิงสา” โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริง และไม่เคยได้ยินคำว่า “สัตยาเคราะห์” จากผู้นำมวลชน หากจะวัดผลตามปรัชญาและแนวปฏิบัติ “สัตยาเคราะห์-อหิงสา” ก็กล่าวได้ว่ามวลมหาประชาชนไม่เข้าใจ จึงไม่ได้ปฏิบัติครบถ้วน ส่วนผู้นำมวลชนก็เช่นกัน ไม่รู้จักอหิงสาที่แท้จริงเท่าๆกับมวลชน ขอยืมอหิงสามาใช้ตามความสะดวกเหมาะสมทางยุทธศาสตร์เท่านั้น แถมยังประกาศใช้สัตยาเคราะห์อีกด้วยโดยไม่รู้ตัว ดังนี้แล้วท่านมหาตมะ คานธีก็คงจะบอกล่วงหน้าได้ว่ามวลมหาประชาชนไทยจะมิได้พบกับสิ่งที่ปรารถนาตามหลักทฤษฎีของมหาตมะ คานธี  

หากจะได้รับชัยชนะ ท่านก็จะบอกว่า “อหิงสาและสัตยาเคราะห์ไม่เกี่ยว” 

การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนหากจะได้รับชัยชนะ - ซึ่งผมเองก็มีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายผู้ชุมนุมอยู่ด้วย - ผมก็มั่นใจว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะการต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม โดยมีข้อมูลความจริง หรือ “สัตยา” ชัดเจน ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากชัยชนะจะต้องเป็นของประชาชน 

แต่ผมก็จำต้องวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าว่าชัยชนะที่มวลมหาประชาชนจะได้นั้น จะเป็นชัยชนะทางการเมืองที่ใช้เทคนิคการต่อสู้ผสมผสาน ทั้งแบบปรัชญาการเมืองตะวันตก ปรัชญาอินเดีย ปรัชญาพุทธศาสนา ทั้งแบบคลาสสิค และแบบประยุกต์ และที่สำคัญจะเป็นชัยชนะที่พึ่งยุทธสาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองแบบไทยร่วมสมัย ที่ทั้งรัฐบาลที่ถูกต่อต้าน และทั้งฝ่ายประชาชนที่เป็นฝ่ายต่อต้าน ต่างก็ใช้ตำราเดียวกัน คือตำรายุทธศาสตร์การเมืองแบบไทยๆ ที่ทำอย่างไรก็ทำได้ ตามความสะดวก ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถ ภูมิปัญญา ไหวพริบ และ ที่สำคัญคือการใช้หลักการพื้นฐานทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริงจากประชาชน สู้กับรัฐบาลที่มิได้ยึดหลักอุดมการณ์ประชาธิปไตยจากตำรารัฐศาสตร์ที่ไหนเลย 


ผู้มีอุดมการณ์ย่อมมีพลังเหนือผู้ไร้อุดมการณ์ แน่นอน

ทว่าวิธีที่สังคมไทยใช้อยู่ ณ เวลานี้นั้น มหาตมะ คานธี ท่านจะเรียกว่าเป็นวิธีตะวันตกที่ใช้อหิงสาและอารยะดื้อแพ่งตามความสะดวกเท่าานั้น แนววิเคราะห์นี้อยู่ท้ายบทความข้างล่าง

อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าบทความต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมหาประชาชนไทย ณ ถนนราชดำเนิน โดยเฉพาะคณะกรรมการผู้จัดการชุมนุม จะได้อ่านให้ละเอียด เพื่อจะได้นำไป “ประยุกต์” ใช้เพื่อเสริมโอกาสให้ได้รับชัยชนะเหนือรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมได้เร็วขึ้น

ผมเน้นเฉพาะเรื่องอหิงสา และ สัตยาเคราะห์ ของมหาตมะ คานธี ก่อน ทั้งๆที่โดยหลักวิวัฒนาการอาระดื้อแพ่งแล้วควรต้องเริ่มที่ต้นแบบตำรา Civil Disobedience ของ Henry David Thoreau ก่อน เพราะเป็นต้นทางความคิด และมีอิทธิพลไม่น้อยต่อชีวิตและงานของมหาตมะ คานธี และเป็นความคิดที่มีมาก่อนมหาตมะ คานธี ถึง 52 ปี ในเมื่อไม่มีใครพูดถึง Thoreau กันเลย กันผมก็ขอเก็บความรู้ไว้คนเดียวก่อน ได้จังหวะเมื่อไรจะเขียนอธิบายให้ได้นำไปคิดต่อในอนาคตอันใกล้ ส่วนJohn Rawls และนักคิดคนอื่นก็เช่น ผมได้ฝากอาจารย์รัฐศาสตร์บางท่านไปบ้างแล้วให้ไปหาทางสอนแทรกในชั้นเรียนของนิสิตนักศึกษา หรือแม้กระทั่งในโรงเรียนมัธยม เพื่อจะได้เบ่งบานทางสันติศึกษากันตั้งแต่วัยเยาว์ 

การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย หรือในที่ไหนๆในโลกเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะนักการเมืองที่ทุจริตฉ้อฉลมักจะได้โอกาสเข้ามาฉ้อฉลระดับชาติได้เสมอ คราใดที่ประชาชนขาดการศึกษาเรื่องปรัชญารัฐศาสตร์ และขาดการใส่ใจในประโยชน์ส่วนรวม หากได้เข้าใจ “อหิงสา” “สัตยาเคราะห์” และ “อารยะดื้อแพ่ง” อย่างดีแล้ว จะได้เข้าใจวิธีต่อสู้กับความรุนแรงโดยอำนาจรัฐ ด้วยการใช้ความไม่รุนแรงของประชาชนพลเมืองได้ 

ต่อไปนี้เป็นบทแปล บทความของ Bharatan Kumarappa (ภารธาน กุมารัปปะ) เขียนเมื่อปี 1950 ในฐานะบรรณาธิการหนังสือของมหาตมะ คานธี ชื่อ Non-Violence Resistanceพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 1951 รวมข้อเขียนบทความของมหาตมะ คานธี โดยตรง จากปี 1920 ถึง 1940 ส่วนใหญ่นำมาจากหนังสือพิมพ์ Young India ที่ท่านมหาตมะ คานธี เป็นบรรณาธิการเอง  

ผมแปลบทความทั้งหมดแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีความเห็นส่วนตัวแทรก ยกเว้นการใช้ถ้อยคำสำนวนที่ปรับให้ร่วมสมัยมากขึ้น (ข้อความในวงเล็บเพิ่มเติมโดยผมเอง)

บทความนี้เป็นบทนำของหนังสือ ก่อนจะเข้าเนื้อหาโดยละเอียดในเล่ม แม้จะมิใช้ข้อความของมหาตมะ คานธี โดยตรง แต่ผมเห็นว่าเป็นบทสรุปที่ถูกต้องแม่นยำ เข้าใจง่าย สำหรับคนไทยที่อยากรู้โดยกว้างว่า สัตยาเคราะห์ อหิงสา และ อารยะขัดขืน นั้นเป็นอย่างไร
  
สมเกียรติ อ่อนวิมล
23 พฤศจิกายน 2556