วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นายอานันท์ ปันยารชุน


"คนไทยจำนวนหนึ่ง ... ฟังไม่เป็น คิดไม่ออก พูดไม่จริง และทำไม่ถูก"

ประวัติ

นายอานันท์ ปันยารชุน เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 12 คน ของมหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์(เสริญ ปันยารชุน) ชาวไทยเชื้อสายมอญ กับคุณหญิงปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร) ชาวไทยเชื้อสายจีน (แคะ)ซึ่งตัวเขาเองมีเชื้อสายจีนมาจากยายซึ่งใช้แซ่เล่า (จีน: หลิว)
พี่น้องของนายอานันท์ ปันยารชุนมีดังนี้
  1. สุธีรา เกษมศรี ณ อยุธยา
  2. ปฏดา วัชราภัย
  3. กุนตี พิชเยนทรโยธิน
  4. จิตรา วรวรรณ ณ อยุธยา
  5. ดุษฎี โอสถานนท์
  6. กรรถนา อิศรเสนา ณ อยุธยา
  7. สุภาพรรณ ชุมพล ณ อยุธยา
  8. ดร.รักษ์ ปันยารชุน
  9. กุศะ ปันยารชุน
  10. พันตำรวจเอก ประสัตถ์ ปันยารชุน
  11. ชัช ปันยารชุน
ส่วนนายอานันท์สมรสกับหม่อมราชวงศ์สดศรีสุริยา จักรพันธุ์ ธิดาหม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์ และหม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด รพีพัฒน์ มีธิดา 2 คนคือ
  • นางนันดา ไกรฤกษ์ (สมรสกับ ไกรทิพย์ ไกรฤกษ์ บุตร นายเพิ่มพูน ไกรฤกษ์ อดีตเลขาธิการสำนักพระราชวัง)
  • นางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ (สมรสกับ ชัชวิน เจริญรัชต์ภาคย์ บุตร ศ.ดร.เจริญ เจริญรัชต์ภาคย์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และ ท่านผู้หญิงสมศรี)

การศึกษาและการทำงาน

นายอานันท์ จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จากนั้นไปศึกษาต่อที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จากดัลลิชคอจเลจ และปริญญาตรีด้านกฎหมาย (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อ พ.ศ. 2498
หลังจบการศึกษา นายอานันท์เข้ารับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2510 จากนั้นย้ายไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศแคนาดา ประจำประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ
ในปี พ.ศ. 2518 นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเดินทางไปสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2519 นายอานันท์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะถูกสั่งพักราชการในปี พ.ศ. 2520 เนื่องจากถูกกล่าวหาโดยรัฐบาลขวาจัดของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ว่ามีแนวคิดฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จากนั้นถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ก่อนจะลาออกจากราชการในปี พ.ศ. 2522
นายอานันท์ หันมาทำงานด้านธุรกิจ ร่วมงานกับกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน จนกระทั่งเป็นประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเมื่อ พ.ศ. 2534 และดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นายอานันท์ขณะเยี่ยมเยือนประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2534

ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นายอานันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยแรกระหว่างวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ถึง 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534 จากการเสนอชื่อโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์เช่นกัน ทั้งเคยร่วมงานกับนายอานันท์ เมื่อ พ.ศ. 2514 ขณะพันโทสุจินดา (ยศขณะนั้น) เป็นรองผู้ช่วยทูตทหารบก ประจำสถานเอกเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน และนายอานันท์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ผลจากการเลือกให้นายอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในตอนนั้นช่วยให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนแรกที่เกิดภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ภารกิจหลักของรัฐบาลนายอานันท์ในสมัยแรก คือ การร่างรัฐธรรมนูญ และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายอานันท์ ได้นำบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ และมีภาพพจน์ที่ดี มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เช่น นายนุกูล ประจวบเหมาะ นายเสนาะ อูนากูล นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
การบริหารประเทศของนายอานันท์ ได้ประกาศเน้นเรื่อง "ความโปร่งใส" นอกจากนั้นยังดำเนินนโยบายเป็นเอกเทศ ไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่งของคณะรสช.ทำให้รัฐบาลได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชน และได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ จนได้รับฉายาว่า "รัฐบาลโปร่งใส" และตัวนายอานันท์เองได้รับฉายาว่า "ผู้ดีรัตนโกสินทร์"
นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ในการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคสามัคคีธรรมได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด จำนวน 79 คน เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคกลับไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ เป็นหนึ่งในบัญชีดำ ผู้ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับการค้ายาเสพติด
พรรคร่วมเสียงข้างมาก ซึ่งประกอบด้วยพรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร จึงสนับสนุนให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พลเอกสุจินดาเคยประกาศว่า จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกล่าวในเวลาต่อมาว่า จำเป็นต้อง "เสียสัตย์เพื่อชาติ"
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา ทำให้เกิดกระแสการคัดค้านอย่างรุนแรง มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่ท้องสนามหลวงเพิ่มขึ้นจนถึงห้าแสนคน จนนำมาสู่การใช้กำลังปะทะ และปราบปรามในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 หรือ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ภายหลังเหตุการณ์ความรุนแรง พลเอกสุจินดาประกาศลาออกจากตำแหน่ง ฝ่ายพรรคร่วมเสียงข้างมาก ร่วมกันสนับสนุนให้ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่แล้วนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ได้ตัดสินใจเสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ แทนที่จะเป็นพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยรัฐมนตรีส่วนใหญ่ เป็นรัฐมนตรีที่เคยดำรงตำแหน่งมาก่อนในสมัยแรก
นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2535 ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด และนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 20
พ.ศ. 2551 นายอานันท์ได้รับการติดต่อจาก พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี ให้เข้าร่วมแผนการณ์ล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่อยู่ระหว่างรอเสนอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และให้นายอานันท์ ปันยารชุน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน[7] ซึ่งนายอานันท์ไม่ได้ตอบรับร่วมแผนการณ์ดังกล่าว

คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ

นายอานันท์ ปันยารชุน ได้เข้ามารับหน้าที่ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ภายหลังการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พ.ศ. 2553 ยุติลง ในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยทำหน้าที่ยกร่างแผนปฏิบัติการที่สามารถนำไปปฏิบัติ และแก้ไขปัญหาความอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยคณะกรรมการ จำนวน 19 คน ทำงานคู่ขนานไปกับคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

  • พ.ศ. 2510 - King Rama IX Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่3
  • พ.ศ. 2511 - Order of Chula Chom Klao - 2nd Class lower (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า (ท.จ.)
  • พ.ศ. 2517 - Order of the White Elephant - 1st Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย
  • พ.ศ. 2520 - Order of the Crown of Thailand - 1st Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก
  • พ.ศ. 2531 - Order of the Crown of Thailand - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
  • พ.ศ. 2534 - Order of Chula Chom Klao - 2nd Class upper (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษฝ่ายหน้า (ท.จ.ว.)
  • พ.ศ. 2534 - Order of the White Elephant - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
  • Order of the Direkgunabhorn 1st class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

  • พ.ศ. 2504-ribbon bar เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เมอริทแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นที่สาม ประเทศอิตาลี
  • พ.ศ. 2513-ribbon bar Order of Diplomatic Service Merit ประเทศเกาหลี
  • พ.ศ. 2514- Bintang Jasa ประเทศอินโดนิเซีย
  • พ.ศ. 2533- Ordre de la Couronne (Belgique)
  • พ.ศ. 2534- ribbon bar เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ประเทศญี่ปุ่น
  • พ.ศ. 2535- Order of the British Empire




วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา



รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา หรือที่นิยมเรียกกันว่า ดร.เสรี เป็นนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการที่ต่อต้าน รัฐบาลยิ่งลักษณ์


รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา (เกิด: 14 มีนาคม พ.ศ. 2492 ที่: อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก; (ชื่อเล่น: อี๊ด)) หรือที่นิยมเรียกกันว่าดร.เสรี เป็นนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการที่ต่อต้าน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และเข้าร่วมขับไล่ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์รายการ เกาที่คัน ร่วมกับ รณชาติ บุตรแสนคม ทุกวันศุกร์ 21:00–22:00 น. และ รายการคลายปม ร่วมกับ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองทุกวันอาทิตย์ 21:00–22:00 น. ทางสทท.
นอกจากแวดวงวิชาการและการศึกษาแล้ว ยังมีชื่อเสียงในฐานะนักพูด นักบรรยาย และพิธีกร รวมถึงเป็นนักแสดงในภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์หรือละครเวที ด้วยในบางโอกาส อีกทั้งยังเป็นบุคคลสาธารณะในสังคมไทยคนแรก ๆ ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นกะเทย โดยมีผลงานเด่นเป็นที่รู้จักกันดีคือละครเวทีเรื่อง "ฉันผู้ชายนะยะ" ใน พ.ศ. 2530 และนำกลับมาแสดงใหม่อีกครั้งในต้น พ.ศ. 2553 เป็นประธานบริหารการประกวดสาวประเภทสอง Miss International Queen

ประวัติการศึกษา

เริ่มศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนสรรพวิทยาคม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แล้วย้ายมาศึกษาต่อ ณ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และสามารถสอบเข้าคณะศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวรรณคดีอังกฤษและภาษาต่างประเทศ ด้วยคะแนนอันดับหนึ่งของผู้เข้าสอบทั้งประเทศ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จนได้รับทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทคณะ Master of Arts for Teachers (English) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองซีแอทเทิล สหรัฐอเมริกา ปริญญาโท Journalism Advertising มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น เมืองเอแวนสตัน ปริญญาเอกวารสารศาสตร์ด้านสื่อสารการเมืองจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นอิลลินอยส์ เมืองคาร์บอนเดล

ประวัติการทำงาน

ทางวิชาการ เคยเป็นคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นอาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์และการสื่อสารการตลาดในมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง
ทางธุรกิจ เคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทเท็ด เบทส์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทฟาร์อีสแอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายตลาดบริษัทสยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ประธานกรรมการเบ็ตเตอร์ อิมแพค คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (BIC) และประธานกรรมการบริษัทกูด คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และ เป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร
ในทางการเมือง เป็นหนึ่งในผู้ร่วมขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ใน พ.ศ. 2549 รวมทั้งเคยเป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดูแลด้านการศึกษา (โดยมี ประวิทย์ รุจิรวงศ์สมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร) ในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2533 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ด้วย แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง และยังเป็นที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์และรณรงค์หาเสียงให้แก่พรรคชาติไทยด้วย
ได้รับรางวัลกิตติคุณสังข์เงิน บุคคลดีเด่นด้านวิชาการของสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

การงาน

  • วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 ผู้เชี่ยวชาญประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร ศูนย์วิทยบริการกรุงเทพมหานคร (ปัจจุบัน)
  • คณบดีคณะวารศาสตร์ศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
  • ผู้อำนวยการโครงการนิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
  • พิธีกรรายการเมืองไทยใสสะอาด (ไอทีวี)
  • พิธีกรรายการยายเม้าวอนสอนหญิง (ช่อง 3)
  • พิธีกรรายการเกาที่คัน (ช่อง 11)
  • พิธีกรร่วมรายการคลายปม (ช่อง 11)
  • พิธีกรรายการข่าวแสนกล (บลูสกายแชนแนล)
  • 14 พฤษภาคม 2557 จากวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 ศาลอาญาอนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส. รวม 43 คน ผู้ต้องหาคดีกบฏ และความผิดอื่น รวม 8 ข้อหา เพื่อติดตามตัวมาดำเนินกระบวนการตามกฎหมาย ดร.เสรี วงษ์มณฑา เป็นผู้ต้องหาหมายเลขที่ 26

“ดร.เสรี” ชำแหละระบอบทักษิณ สร้างความแตกแยกให้สังคม!


   วันนี้ (27 พ.ค.) เมื่อเวลา 20.00 น. ดร.เสรี วงศ์มณฑา กล่าวบนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร คอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 2 ว่า ขอร้องให้ประชาชนอย่าเพิ่งเบื่อการเมืองจนไม่มาร่วมชุมนุมกันต่อ เพราะฝ่ายตรงข้ามกำลังรอให้ประชาชนเบื่อการเมืองจะได้หยุดมาชุมนุม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้ประเทศเสียหายมากไปกว่านี้ สำหรับตนเองจะยืนหยัดในการชุมนุมไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าทางแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งประชาชนจะตั้งคำถามไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไรก็ยังไม่เคยได้ยินคำตอบเลย ดังนั้น ตนจึงเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดตามข้อกล่าวหาของแกนนำพันธมิตรฯ จึงไม่กล้าจะออกมาตอบคำถามทั้งหมด
   ดร.เสรี กล่าวต่อว่า หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา นอกจากพรรคไทยรักไทยจะได้คะแนนน้อยลงแล้ว ยังมีปรากฏการณ์ no vote สูง ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งนอกจากไม่เอาทักษิณแล้วยังไม่ต้องการะบอบทักษิณอีกด้วย
   โดย ดร.เสรี ได้ชำแหละระบอบทักษิณเอาไว้หลายประการ โดยประการแรก เป็นระบอบ “ข้าคิดคนเดียว” หมายถึงบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายนั้นไม่ต้องเปลืองสมองในการคิด เพียงทำตามทุกอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พอ จึงทำให้บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายสมองฝ่อไปหมดแล้ว
   ประการที่ 2 “มีวาระซ่อนเร้น” ทั้งนี้เพราะนโยบายทุกเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำนั้นดูเหมือนมีประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน, โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ฯลฯ แต่ถ้าเจาะเข้าไปในทุกโครงการจะพบ “วาระซ่อนเร้น” เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น
   ประการที่ 3 พ.ต.ท.ทักษิณทำงานสไตล์ “สบายใจไร้การตรวจสอบ” ทั้งนี้เพราะ พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคเดียวที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ แม้รัฐธรรมนูญจะแต่งตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาเพื่อให้ตรวจสอบรัฐบาล แต่ทุกวันนี้องค์กรอิสระหลายแห่งก็ยังทำงานรับใช้รัฐบาล นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังนำพรรคพวกของตัวเองรวมถึงผู้บริหารของชินคอร์ปเข้าไปเป็นกรรมการการบินไทย
   ประการที่ 4 เป็นระบอบ CEO คือ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถสั่งการได้ทุกเรื่อง ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ จนกลายเป็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอะไรถูกไปหมด
   ประการที่ 5 “เอาพวกพ้อง” หมายถึงถ้าใครยอมเป็นพวกด้วยก็จะได้ดี แต่ถ้าใครไม่สนองตามความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะต้องถูกไล่ออกไป ดังจะเห็นได้จากการโยกย้ายคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ ออกไปจากตำแหน่งและโยกย้ายญาติและพวกพ้องเข้ามาดูแลผลประโยชน์ให้
   ประการที่ 6 ระบอบทักษิณสร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างรุนแรง โดย ดร.เสรี ได้ขอร้องให้ประชาชนอย่าทะเลาะกันแม้ว่าจะมองเรื่องการเมืองกันคนละมุมก็ตาม
   ประการที่ 7 ระบอบทักษิณสร้างนิสัย “เชลียร์” ดังจะเห็นได้จากในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ลางานไปนั้น บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายก็ไม่ทำงาน ไม่ยอมแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ แต่พอ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาทำงานวันแรก บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายรีบกลับมาทำงานทันทีเช่นกัน
   สำหรับเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ที่กำลังเป็นข่าวอยู่นั้น ดร.เสรี ให้ความเห็นว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่สนใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำมาตลอด 5 ปีที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลนั้นประจักษ์ชัดว่ากระทำการสอดคล้องกับปฏิญญาทั้ง 5 ข้อจริงๆ โดย ดร.เสรี ได้ยกตัวอย่าง ในเรื่องการใช้ประชานิยมยึดรากหญ้า แล้วแปรรูปเพื่อครอบครองเศรษฐกิจ เป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่ทำงานโดยไม่มีใครขัดขวาง ซื้อข้าราชการจากรับใช้ชาติมาเป็นรับใช้ชินคอร์ป
   “ผมไม่ได้รังเกียจ พ.ต.ท.ทักษิณที่จะกลับมาเป็นนายกฯ แต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องตอบคำถามทั้งหมดก่อน เพื่อล้างตัวเองให้สะอาดก่อนที่จะกลับมาบริหารบ้านเมือง” ดร.เสรี กล่าวทิ้งท้าย

Cr: http://www.manager.co.th

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มวลมหาประชาชน

มวลมหาประชาชน

เมื่อใดที่ประเทศต้องการ
เราจะมาและมามากกว่าเดิม

มวลมหาประชาชน คือ กลุ่มประชาชนจำนวนมากที่ออกมาเดินขบวนเพื่อขับไล่รัฐบาลในระบอบทักษิณ ซึ่งมีพรรคแกนนำรัฐบาลคือ พรรคเพื่อไทย และมีนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์ น้องสาวของ นายทักษิณ ชินวัฒน์(ซึ่งตอนนี้หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ) เพื่อที่จะทำการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง จึงทำให้เกิดความตื่นรู้ของประชาชน ในเรื่องของกฏหมาย การเมือง และความเป็นประชาธิปไตย ตื่นรู้ในการกระทำอันช่อฉนของนักการเมือง และทำให้รู้ว่า การเมืองไม่ควรเป็นธุรกิจ ทำให้รู้ถึงพิษภัยของระบบข้าราชการที่เดินหน้าด้วยผลประโยชน์ และอีกมากมายหลายอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องดีต่อประเทศ
และนี่คือ บุคคลที่ควรจารึกไว้ในสังคมไทย ไปชั่วลูกชั่วหลาน








แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์


1. ถ้าทำงานอะไรต้องทำด้วยความรัก และศรัทธาในงานนั้นๆ
2. ต้องเข้าใจสัจธรรมว่าทำอะไร ไม่ได้ดั่งใจเสมอ และไม่ท้อถอย
3. ทำสิ่งที่ดี และตระหนักว่าไม่ทำให้คนอื่นและตนเองเดือดร้อน
4. ทำงานเพื่อให้สังคมดีขึ้น การเป็นคนดีแต่ไม่กล้าทำความดีนั้น ไม่มีประโยชน์


ผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงใช่ว่าจะเป็นเพศที่หน่อมแน้ม ขี้กลัว เสมอไป เธอคือ“แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์” ที่ได้บอกสังคมให้รู้ว่าความกล้าแบบสาหัส และตรงไปตรงมา “ผู้หญิง” ก็เป็นได้ แม้กระทั่งการอยู่กับศพ ผ่าพิสูจน์ศพ สุดยอดแห่งความกลัวของคนจำนวนมาก (Cr:www.positioningmag.com)

แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ หรือชื่อเดิมว่า พรทิพย์ ศรศรีวิชัย (เกิด 21 ธันวาคม พ.ศ. 2497) เป็นนิติแพทย์และนักนิติวิทยาศาสตร์ชาวไทย ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม

การศึกษา

พรทิพย์จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย และเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในระหว่างปี พ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2522 และได้รับวุฒิบัตรผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี พ.ศ. 2525 และในปี พ.ศ. 2538 ได้รับอนุมัติเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้แล้วยังได้รับวุฒิบัตรฯจากต่างประเทศ ได้แก่
  • 2541 Forensic Anthropology จาก Armed Forces Institute of Pathology Washington, DC สหรัฐอเมริกา
  • 2542 Forensic Pathology จาก Armed Forces Institute of Pathology Washington, DC สหรัฐอเมริกา
  • 2548 ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร
  • 2548 ได้รับปริญญาแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรังสิต
พรทิพย์เป็นชาวกรุงเทพฯ สมรสกับวิชัย โรจนสุนันท์ มีธิดา 1 คน ชื่อ ญารวี โรจนสุนันท์

ประวัติการทำงาน

พรทิพย์เคยรับราชการในตำแหน่ง แพทย์หญิง ระดับ 4 ประจำ โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ. 2523 ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 จึงย้ายมาเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา และหัวหน้าหน่วยนิติเวชและหน่วยตรวจศพ ภาควิชาพยาธิวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ในระหว่างนั้นยังได้ดำรงตำแหน่ง กรรมการสภาคณาอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2541 และตำแหน่ง ประธานสภาอาจารย์รามาธิบดี พ.ศ. 2541-พ.ศ. 2542 อีกด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 ได้โอนมาดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองการแพทย์ สถาบันพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง จังหวัดนนทบุรีและโฆษกกระทรวงยุติธรรม ในปี พ.ศ. 2546 ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และในปี พ.ศ. 2548 ได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กระทั่งในปี พ.ศ. 2551 ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (นักบริหาร ระดับสูง)และในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผลงาน

  • การพิสูจน์ศพ “ห้างทอง ธรรมวัฒนะ”
  • ร่วมชันสูตรชิ้นเนื้อและรวบรวมหลักฐานในคดีที่นายแพทย์วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ฆ่าหั่นศพแพทย์หญิงผัสพรภรรยาของตนเอง
  • การพิสูจน์เอกลักษณ์ผู้ตาย ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ ณ วัดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
  • การพิสูจน์ศพนิรนามในสุสาน จ.ปัตตานี
  • การหาหลักฐานเพื่อค้นหาทนายสมชาย นีละไพจิตร
  • การตรวจดีเอ็นเอ แด็ก บิ๊กแอส, ฝ้ายและน้องจัสติน
  • การตรวจดีเอ็นเอ พิสูจน์ความเป็นพ่อของ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง
  • นักเขียนคอลัมน์ "คุ้ยแคะความคิดกับหมอแพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์" ในเว็บไซต์เสถียรธรรมสถาน
  • งานเขียนคอลัมน์พิเศษใน หนังสือพิมพ์ข่าวสด เรื่อง แกะรอยแก๊งส์โอรส วัยรุ่นนักเลงหรือผู้ป่วยทางจิต โดยใช้นามปากกาว่า ทิพย์ โอรส
  • งานเขียน เช่น แกะรอย DNA, คิดทางขวาง, ใต้คมมีดหมอ, ทำเพื่อศพ, บันทึกสึนามิ, ป่วยเป็นศพ, เปรี้ยวหลบใน, รักเป็นศพ วัยรุ่น...วุ่นวาย...สดใสหรือแสบซ่า, ศพพูดได้, สอนด้วยศพ, สืบจากดวง, สืบจากศพ, สืบจากศพ ภาค 2, สู้เพื่อศพ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

  • พ.ศ. 2556 - Order of the White Elephant - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
  • Order of the Crown of Thailand - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
  • Order of the White Elephant - 1st Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
  • Order of Chula Chom Klao - 4th Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า (จ.จ.)
  • Order of the Direkgunabhorn 5th class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 5 เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ (บ.ภ.)
  • Border Service Medal (Thailand) ribbon.png เหรียญราชการชายแดน (ช.ด.)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

  • Order of the Polar Star - Ribbon bar.svg The Royal Order of the Polar Star ชั้น Member First Class (สวีเดน)

รางวัลเกียรติคุณ

  • ปี 2541 โล่สดุดีเกียรติคุณการส่งเสริมจริยธรรมนิสิตนักศึกษาแพทย์
  • ปี 2540 – 2541 รางวัลสาขาจรรยาบรรณวิชาชีพ
  • ปี 2547 รางวัล Beauty of Science Award เพื่อเป็นการเชิดชูนักวิทยาศาสตร์สตรีผู้ที่นำมาซึ่งมิติใหม่แห่งวงการวิทยาศาสตร์
  • ปี 2550 รางวัลสตรีนักส่งเสริมสิทธิมนุษยชนดีเด่น จากงานประกาศเกียรติคุณของสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


“แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์” หนึ่งใน 70 แพทย์ ด้านนิติเวชวิทยาของไทย และเธอยังเป็น 1 ในแพทย์หญิงด้านนิติเวชที่มีเพียง 10 คนเท่านั้น เธอมีดีกรีทางการแพทย์ และเกียรติคุณทางสังคม ตลอดจนผลงานทางวิชาการด้านการแพทย์มากมาย



ชีวิต
- การแต่งกายอย่างมีสีสัน ทั้งเสื้อผ้า และเครื่องดับ เป็นความสุขเหมือนการชาร์จแบตฯ หลังทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย
-ฟังเพลงป๊อป และฮิพฮอพ
-อ่านหนังสือและเขียนหนังสือ พิมพ์แล้วประมาณ 27 เล่ม ที่โด่งดัง เช่น “สืบจากศพ” และ “สู้เพื่อศพ”
-อ่านหนังสือธรรมะ

รัฐบาล ยิ่งลักษณ์
เมื่อเห็นว่า คุณหญิงหมอ ไม่เดินตามความประสงค์ของตนจึงได้โยกย้ายคุณหญิงหมอออกจาการเป็นผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข)


ประวัติ
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ สำเร็จการศึกษา แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พ.ศ. 2521อบรมหลักสูตรนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง รุ่นที่ 11 กสธ. พ.ศ. 2537 อบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 38 สำนักงาน ก.พ.พ.ศ. 2545 สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2548 การป้องกันราชอาณาจักรภาครับร่วมเอกชน (ปรอ.)รุ่นที่ 21พ.ศ. 2551 อนุมัติบัตรผู้เชี่ยวชาญ สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน พ.ศ. 2555

ประวัติการรับราชการที่สำคัญ
พ.ศ. 2536 – 2542 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจิตร
พ.ศ. 2542 – 2544 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี
พ.ศ. 2544 – 2545 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. 2545 – 2550 รองอธิบดีกรมควบคุมโรค
พ.ศ. 2550 – 2553 ผู้ตรวจราชการกระทรวง
พ.ศ. 2553 – 2554 รองปลัดกระทรวง (ด้านบริหาร)
พ.ศ. 2554 – 2555 อธิบดีกรมสุขภาพจิต
1 ตุลาคม 2555 – ปัจจุบัน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (อดีตเลขาธิการอาเซียน)



นาง ฮิลลารี ถาม ดร. สุรินทร์ว่า เห็นอาเซียนกำหนดกรอบเวลาในการรวมตัวกันมายาวนาน เมื่อไหร่จึงจะเกิดขึ้นได้จริงเสียที ...
::: ดร. สุรินทร์จึงถามว่า โทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้ประพันธ์สารนิพนธ์ประกาศเอกราชของอเมริกา ได้เขียนเอาไว้ว่า All men are created equal คนทุกคนเกิดมาโดยเท่าเทียม .... แต่ที่สุดแล้ว กี่ปีกว่าที่ อเมริกา จะให้สิทธิในการโวตแก่ ผู้หญิง หลังจากนั้นอีกกี่ปีอเมริกาจึงจะเลิกทาสและคนผิวสีจะมีโอกาสเทียบเท่ากับคนขาว หลังจากนั้นกี่ปีที่คนผิวสีไม่ได้โดนแบ่งแยกกีดกัน


ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 - ) อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกิดวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เป็นนักการเมืองชาวไทยมุสลิม และเคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

ดร.สุรินทร์ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งมีวาระ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 จนสิ้นสุดวาระเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 โดยนั่งทำงานที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ โดยคนไทยคนแรกคืออดีตเอกอัครราชทูตและอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แผน วรรณเมธี (ปัจจุบันเป็นเลขาธิการสภากาชาดไทย) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2532-2536

ประวัติ

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช มีบิดาเป็นครูมุสลิม ศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านตาล ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช และ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแคลร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2515 ปริญญาโท มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2518) และปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (พ.ศ. 2525) เริ่มอาชีพนักวิชาการในตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2518-2529

การเมือง

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เข้าสู่แวดวงการเมืองในปี พ.ศ. 2529 โดยได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.นครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรติดต่อกัน 7 สมัย เคยเป็นเลขานุการของนายชวน หลีกภัย ขณะที่นายชวนดำรงตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2529-2531) ต่อมาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2535-2538[1] และเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี พ.ศ. 2540-2544 ต่อมา ดร.สุรินทร์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน โดยเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 หลังจากที่ได้มีการส่งชื่อไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2550 และได้รับการรับรองจากชาติสมาชิกอย่างเป็นทางการในที่ประชุมผู้นำอาเซียน ณ สิงคโปร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550[2]

สรุปการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ดร.สุรินทร์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, 2548
เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายชวน หลีกภัย) ปี พ.ศ. 2529-2531
ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2531-2534
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2535-2538
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2540-2544



เปิดพิมพ์เขียว 9 แนวทางปฏิรูปประเทศไทยโดย ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ

1) ปฏิรูปการเมืองหลักการสำคัญข้อแรกของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือ อำนาจทางการเมืองที่ได้มาจากประชาชนต้องมีขอบเขตจำกัด โดยกฎหมาย ตามกฎกติกา และค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติอันทรงคุณค่าของสังคม และต้องตระหนักว่า “เสียงข้างมากไม่ใช่ ”ประทานบัตร” หรือใบอณุญาต ที่ให้อำนาจผู้ถือสิทธิ์จัดการกับประเทศตามอำเภอใจ ไม่มีขอบเขต ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง หลักนิติธรรม ค่านิยมของสังคมใดๆ ทั้งสิ้นสร้างเสริมกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลย์อำนาจฝ่ายต่างๆ ที่อาจจะเหลื่อมล้ำเกินเลยขอบเขตของกรอบกฏหมาย ละเมิดสิทธิฝ่ายอื่น เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องครอบครัว และกำหนดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ และกลไกดังกล่าวจะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีการอ้างสิทธิจากเสียงข้างมากเข้ามาก้าวก่าย จนเสียความเป็นกลาง ขาดอิสระ และไร้ประสิทธิภาพ

2) ปฏิรูประบบตรวจสอบอันเข้มข้นจากภาคประชาชน เพื่อต่อต้านคอรัปชั่น การฉ้อราษฏร์บังหลวงในระยะเวลาที่ผ่านมาการบริหารจัดการโอกาสและทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ทั้งในรูปของงบประมาณแผ่นดิน ทรัพยากรธรรมชาติ กิจการรัฐวิสาหกิจ ได้ถูกครอบงำ ตักตวงผลประโยชน์ทุกรูปแบบ จนทำให้ผลประโยชน์สูงสุดไม่ตกเป็นของประเทศชาติและประชาชน ถ้าคิดเป็นมูลค่าเป็นตัวเงินเกิดการรั่วไหลกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปีนอกจากนั้นทรัพย์สินของรัฐ สมบัติของแผ่นดินต้องได้รับการปกป้อง แยกส่วนชัดเจนจัดการ จากทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ปะปนสับสนเป็นกงสีของตระกูล เครือญาติ และพรรคพวก มาตรการต่างๆ ที่ควรจะพิจารณาจัดตั้ง คือ- มีองค์กรตรวจสอบภาคประชาชน ให้ภาคประชาชนมีสิทธิ์ในการตรวจสอบ และฟ้องร้องดำเนินคดีได้- กำหนดให้มีบทลงโทษที่ชัดเจน มีกระบวนการกฏหมายให้มีการปฏิบัติอย่างรัดกุม ในการที่หน่วยงานรัฐไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร- คดีคอรัปชั่นไม่มีหมดอายุความ

3) ปฏิรูประบบราชการและกระจายอำนาจระบบราชการต้องปลอดจากการเมือง ข้าราชการมีศักดิ์ศรี เป็นอิสระ มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการภายในองค์กรของตนเองตามกรอบและกฎเกณฑ์โดยกฎหมายเฉพาะสำหรับแต่ละหน่วยงานที่ชัดเจน เพื่อมิให้เป็นกลไกเพื่อเพิ่มพูนแสวงหาและรักษาผลประโยชน์ของครอบครัว และพวกพ้อง เหมือนที่เป็นอยู่ตั้งแต่ในอดีตและรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันกลไกการปกครองของรัฐต้องมีการกระจายโอกาสให้ประชาชนและภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของชุมชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น ตลอดจนการใช้ และเข้าถึงซึ่งทรัพยากรในท้องถิ่นของตน โดยคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตของประชากรของประเทศร่วมกัน- เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด- ยกเลิกการปกครองส่วนภูมิภาค กระจายอำนาจราชการสู่ท้องถิ่น กำหนดให้หน่วยงานภายใต้สังกัดของมหาดไทย การศึกษา การเกษตร การพาณิชย์ การส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ อยู่ภายใต้อำนาจของท้องถิ่น- งบประมาณของแผ่นดินไม่น้อยกว่า 35% ให้อยู่ในการดูแลของรัฐบาลท้องถิ่นในทุกระดับ- กำหนดการกระจายอำนาจให้เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกรัฐบาลต้องดำเนินการ- ตำรวจสังกัดท้องถิ่น อยู่ภายใต้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง- ปฏิรูประบบราชการ ข้าราชการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ตอบโจทย์สังคมที่เปลี่ยนไป- ขจัดการการแทรงแซงของภาคการเมือง และระบบอุปถัมภ์- มีการจัดตั้งสภาประชาชนในทุกจังหวัดเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบหน่วยงานท้องถิ่น- เป็นภาคีกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านคอรัปชั่น เพื่อผูกพันประเทศไทยต้องมีระบบการตรวจสอบ ป้องกันที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น เช่น อนุสัญญา ต่อต้านคอรัปชั่นของ OECD ปี 2011 และ ข้อตกลง ASEAN Supreme Audit Institutions Assembly

4) ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาส ให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจน บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยั่งยืนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแบบทั่วถึง และเป็นธรรม มีเป้าหมายขจัดความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน มีดัชนีบอกวัดความเหลื่อมล้ำที่แม่นยำ ไม่ให้เกิดสภาพการ “รวยกระจุก จนกระจาย” อีกต่อไป- สร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนระยะยาว- แก้ปัญหาการถือครองที่ดิน ให้มีที่ดินทำกินอย่างทั่วถึง ควบคู่ไปกับการจัดการกับที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์- ปรับโครงสร้างกระบวนการผลิต การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูป การตลาด และการขนส่ง สำหรับภาคเกษตร ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ และเกษตรผสมผสาน- ลงทุนระบบชลประทาน ทุกชุมชนต้องเข้าถึงแหล่งน้ำได้

5) ปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกันให้โอกาสทางการศึกษา พัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างทั่วถึงเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เคารพและให้เกียรติต่อกัน มีความปรองดองในหมู่ประชากรที่มีความหลากหลาย ด้วยความเสมอภาค ปราศจากการแบ่งแยก เลือกปฏิบัติ กีดกัน รังเกียจเดียดฉันท์ เนื่องด้วยความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนความเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน- สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษา เด็กยากจนต้องได้เข้าเรียนทุกคน ไม่มีใครตกหล่นจากระบบการศึกษา (No child left behind) เพื่อให้มีอัตราการเข้าศึกษา 100% จาก อนุบาล 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6- มีการจัดการอบรมสำหรับครู รวมทั้งปรับปรุงหลักสูตรการเรียนให้มีมาตรฐาน น่าสนใจต่อผู้เรียน- มีการวัดผลโรงเรียน ครู และกระบวนการสอน อย่างโปร่งใส รัดกุม ได้มาตรฐาน โดยผู้เชี่ยวชาญและกระบวนการที่ตรวจสอบได้ โดยใช้ประสิทธิผลของนักเรียนเป็นดัชนีชี้วัด

6) ปฏิรูประบบสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึง โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) และความมั่นคงมนุษย์ (Human Security)จัดเก็บภาษีอย่างทั่วถึงเป็นธรรม มุ่งเป็น สังคมสวัสดิการ ให้ทุกชีวิตดำรงอยู่อย่างเสมอภาค มีความมั่นคงบนพื้นฐานแห่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน – ทั้งชีวิตเราดูแล “จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน”- การดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ช่วงก่อนเข้าเรียน และในช่วงวัยเรียน ตลอดจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน- การขยายระบบประกันสังคมและบำนาญที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม อย่างทั่วถึง

7) เศรษฐกิจที่มีการแข่งขันอย่างโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค- บังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง- จัดตั้งองค์การคุ้มครองผู้บริโภคที่มีตัวแทนของภาคประชาชน และเป็นองค์กรที่เป็นอิสระนอกเหนือจากระบบราชการ

8) ปฏิรูปสื่อสารมวลชนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยสันติ มีสิทธิ์ในการได้รับและเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารของรัฐ จะต้องมีการคุ้มครอง ปกป้องอย่างจริงจัง ปราศจากการแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ และอิทธิพลทางการเมือง ต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ- สื่อมวลชนทุกแขนงต้องนำเสนอข่าวที่เท่าเทียมกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ภาคประชาชน- กำหนดมาตรฐานจริยธรรมของสื่อ มีองค์กรวิชาชีพเป็นเครื่องมือในการควบคุมจริยธรรมและจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน

9) ปฏิรูประบบยุติธรรมสิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างทั่วถึง มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างเท่าทียม ไม่ใช้กระบวนยุติธรรมเพื่อเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง และผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม ไม่มีสองมาตรฐาน- พิจารณาคดีในรูปแบบคณะอัยการ สำหรับคดีสำคัญ คดีที่มีความเกี่ยวกับสังคมส่วนรวม ไม่รวบอำนาจไว้ที่อัยการสูงสุด- มีตัวแทนภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบอัยการ เช่น อยู่ใน คณะกรรมการอัยการที่แต่งตั้งอัยการ หรือคัดเลือกองค์คณะอัยการในคดีที่สำคัญของแต่ท้องที่ เช่นคดีการเมืองในจังหวัด คดีการเมือง คดีผู้มีอิทธิพล- ป้องกันการล้มคดี ในระดับตำรวจในคดีสำคัญให้อัยการร่วมในการสืบสวน หาพยานและหลักฐานด้วย


ดร.สุรินทร์ ถึงคนเสื้อแดงและคนเกลียด ปชป

    บังหลีม(ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ)ให้สัมภาษณ์ น่าคิดมากๆ จากคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ฝากถึง คนเสื้อแดงที่ยังรักเมืองไทย / คนเกลียดทักษิณแต่ก็เกลียดประชาธิปัตย์ ทุกคน อยากถามเพื่อน ๆ เสื้อแดงจริง ๆ ว่า รับสภาพรัฐบาลนี้กันเข้าไปได้ยังไง ณ จุดนี้ ต่อให้เกลียดประชาธิปัตย์ยังไง แต่ก็น่าจะฉุกคิดบ้างได้แล้วว่าทักษิณ ได้ทำอะไรไปกับประเทศเราบ้าง คนเสื้อแดงจะมองไม่ออกเชียวหรือว่าสิ่งที่เพื่อไทยทำนั้น เลวร้ายกว่าสิ่งที่นักการเมืองยุคไหนทำมาทั้งหมด คนที่ออกมาประท้วง คนที่ราชดำเนินในตอนนี้ ไม่มีใครไม่รู้ว่าประชาธิปัตย์ไม่โกง ไม่มีใครคิดว่าสุเทพเป็นคนดีหมดจด ใคร ๆ ก็รู้ว่านักการเมืองมันโกงทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้ทักษิณโกงเกินไปหรือเปล่า ทักษิณล้ำเส้นของเส้นของเส้นที่ขีดไว้ 4-5 ทอด ไกลกว่ารัฐบาลไหน ๆ ที่เคยโกงกันมา สมัยก่อนจะโกงทีต้องหลบต้องซ่อน แต่เดี๋ยวนี้นอกจากจะไม่หลบแล้ว ยังโกงแบบเปิดเผยหน้าด้าน ๆ ด้วย "กูจะโกง ทำไม ใครจะทำอะไรกูได้" วินาทีนี้ ต่อให้ประชาธิปัตย์ หรือสุเทพเลวร้ายแค่ไหน ก็คงเทียบกันไม่ได้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยคลางแคลงใจว่าสุเทพจะมี Hidden Agenda หรือเล็งผลประโยชน์อื่น ๆ อีกรึเปล่า เพราะยี่ห้อประชาธิปัตย์บอกตรง ๆ ว่าก็ไม่ค่อยมั่นใจซักเท่าไหร่ แต่ยิ่งนานวันเข้า ก็เริ่มรู้สึกเห็นใจและเชื่อใจขึ้นทีละน้อย ไม่ใช่เพราะพูดจายาหอมสไตล์ประชาธิปัตย์ แต่เป็นการทุ่มสุดตัวชนิดที่เรียกว่าสุดซอย หรือแม้แต่การกล้าสวนกระแสพรรค แตกหักทางความคิดกับต้นสังกัดเดิม และสุดท้ายที่ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้นหากการปฏิรูปนี้เสร็จสิ้นลง อย่างหลังสุดนี้จะทำได้จริงรึเปล่ายังไม่รู้ แต่คิดว่าสุเทพคงไม่หน้าด้านเท่าจตุพร ณัฐวุฒิ อย่างแน่นอน อีกอย่างที่ผมสัมผัสได้แม้จะแผ่วเบามากและหวังไว้ในใจลึก ๆ ว่าจะเป็นจริงนั่นก็คือ การกลับใจ คนเราไม่ว่าจะขนาดไหน เมื่อยามแก่ชราลงถึงจุดหนึ่ง และโกงกินมาพอแล้ว เลวมาพอแล้ว ก็จะมี moment ที่อยากจะฝากอะไรซักอย่างหนึ่งที่ดี ไว้ให้คนรุ่นหลังได้พูดถึงต่อ ๆ ไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัสได้ในตัวของนักการเมืองอย่างทักษิณ เฉลิม บรรหาร เลยแม้แต่นิดเดียว ความรู้สึกนี้คิดว่าคงจะไม่ได้รู้สึกไปเอง เพราะไม่อย่างนั้นคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุลคงไม่ออกมาบอกให้พันธมิตรเข้าร่วมสังฆกรรมกับสุเทพอย่างแน่นอน เพราะสนธิเกลียดสุเทพน้อยกว่าทักษิณนิดเดียวจริง ๆ บางคนบอกว่า ไม่เอาทักษิณ แต่ก็ไม่เอาประชาธิปัตย์เหมือนกัน ผมอยากจะฝากบอกว่า ประชาธิปัตย์น่ะคุณจะปฏิเสธเมื่อไหร่ก็ได้ เลือกตั้งครั้งหน้าแค่ไม่ลงคะแนนให้ อภิสิทธิ์ก็เดินเข้าสภาไม่ได้แล้ว แต่ทักษิณน่ะต้องตอนนี้ เวลานี้เท่านั้น นี่เป็นเพียงเสี้ยวเวลาเดียวในช่วงประวัติศาสตร์ ถ้าผ่านจุดนี้ไปแล้ว มันไม่มีเวลามาปฏิเสธทักษิณอีกแล้ว เพราะทุกอย่างมันโดนกลืนกิน สูญสลายหายไปหมดแล้ว ใครที่ยังรักประเทศไทยน้อยกว่าทักษิณ ใครที่ยังเกลียดชังประชาธิปัตย์ ใครที่ยังไม่มั่นใจในตัวสุเทพ ออกมาเถอะครับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นแค่ชื่อตำแหน่งผู้นำการปฏิรูปเท่านั้น ณ เวลานี้เราไม่ได้ต้องการคนดีพร้อม เราไม่ได้ต้องการคนที่ใสสะอาดหมดจด เราต้องการแค่คนที่กล้าลุกขึ้นสู้ เราต้องการคนจุดประกายการปฏิรูปการเมือง เราต้องการกำจัดนักการเมืองชั่ว ๆ ที่สัตว์ ๆ แต่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสภา โดยที่ประชาชนคนอย่างเรา ๆ ไม่เคยทำอะไรมันได้เลย ในชั่วชีวิตของผม ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าโอกาสแบบนี้จะผ่านมาอีกทีเมื่อไหร่ โอกาสในการปฏิรูปการเมืองมันอยู่แค่เอื้อมตรงหน้านี้แล้ว สุเทพ เทือกสุบรรณ ก้าวไปไกลกว่าม๊อบไหน ๆ ที่เคยมีมาทั้งหมด โอกาสแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว It's now or never. ถ้าไม่รวมพลังกันตอนนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีการเมืองไทย ไม่มีอนาคต ไม่มีแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ให้คนเกลียดได้อีกต่อไป


Dr.SurinWoffordNominationLetter.pdf

Democracy Lessons on the Streets of Bangkok

By Surin Pitsuwan

Whether or not the massive protests against the government by the people all over the country, particularly on the streets of Bangkok, would lead to any meaningful changes in our political culture and system remain to be seen and evaluated by experts. One thing is quite clear, the marathon demonstration has brought about many beautiful literary works inspired by the largest political event in Thailand’s history. We can call them “streets poetry” ,“protest arts” or “music of grievances” they have become a new genre of popular art forms that sprang up quite spontaneously on the dusty concrete footpath and from the depths of emotions of participants, supporters and by-standers.

And powerful quotations from philosophers and thinkers of politics and democracy from ancient Greece to the genius of modern eras were invoked to justify their “right to rebel” against what they perceive to be an unjust government. Social media has been the best instrument to share with millions around the country and help galvanize the overwhelming support from the country’s agitated electorate.

The very first issue of grievance articulated day in and day out on the pavement of Rajadamneon Avenue is the arrogance of power. Hundreds of thousands of multitude from all walks of life and all corners of the country, armed only “with a pair of sport shoes and a pure heart,” converged for one and the same reason, i.e. the abuse of power by the majority over the limits of the laws and the bounds of decency which have been social norms and cultural traits of the Thai society. This is what Thomas Jefferson called “elective despotism.”

When the majority in the two Houses of Parliament dragged every controversial issue through the legislative process against the protest of the minority, sometimes submitting different documents from what have been passed by the other body, often times allowing others to slip voting cards in their absence, many times shunning many members from expressing their opinion on the ground that “the sense of the majority seem to be overwhelming already,” the resulting legislative products would be flawed both in their substance and in their procedural integrity. The Thai Constitutional Court handed down its majority opinion on 20 November, calling the House’ s procedure in an effort to amend the Constitution “illegal.”

Prior to the Constitutional Court’s ruling, hundreds of thousands of people were already on the streets of Bangkok and at provincial halls around the country protesting against an Amnesty Bill aiming at whitewashings all criminal acts committed since 19 September 2006 Coup against former Prime Minister Thaksin Shinnawatra all the way to10 May 2013. It would have been a sweeping amnesty for all sorts of crimes.

It was argued that the Bill would have undermined the rule of law, reversing verdicts of other courts, including the conviction against Mr. Thaksin himself and the confiscation of his “ill-gotten wealth”.

This was perceived to be an act of injustice. And we heard the Oxford-educated Korn Chatikavanij, a Democrat MP of Bangkok and former Minister of Finance under the Abhisit Government, invoking Thomas Jefferson on the Rajadamneon Stage in front of tens of thousands of people: “When injustice becomes Law, resistance becomes duty.” The crowd roared and applauded approvingly.

Facebook, Line and other forms of social media during the month-long protests certainly helped raised a higher level of political awareness and sophistication of the people in Bangkok and around the country. They shared photos, poems, articles from newspapers and video clips of powerful and persuasive speakers relevant to the controversial acts or omissions of the Government. One interesting one reached all the way to the Greek Sage of 5 Century B.C., Plato. He was quoted as admonishing people who remain uninterested and silent on political issues, known as Thai Cheuy, “One of the penalties for refusing to participate in politics, is that you end up being governed by your inferiors.” That certainly sounds a bit condescending, but such as the nature of Thai politics at the moment.

The urban and rural divide has been an Achilles heel of Thai politics all along. And the general impression of the Bangkok middle class is that the politicos in charge of the country now are full of country pumpkins and inferior than themselves. Urbane, well-educated and tax-paying, the people of Bangkok detest the populist projects doled out by the Pheu Thai Government, fraught with corruption and waste. The controversial money-losing rice price guarantee project is a good example of misconceived and mismanaged populist initiative aimed at winning rural support. The rating agency Moody’s and IMF itself have issued warnings that the scheme would become a large black hole of debt and corruption if it is not abandoned soon. To date over Baht 450 billion is considered irrecoverable. And the National Counter Corruption Commission is set to rule about corruption practices in the entire scheme.

Even the authority of Albert Einstein was invoked to inspire the crowd to cling to their seats on the surface of Rajadamneon. They would hear Dr. Trairong Suwankiri, another fiery orator from the Democrat Camp, quoting the giant of modern physics: “The world will not be destroyed by those who do evil, but by those who watch them without doing anything.” That statement certainly strikes a responsive chord among the “silent majority” who have harboured tremendous grievances but would not dare to articulate it out for fear of being despised, not knowing who the next person is, affiliated with, or entertaining any political persuasion. They have been described as being “lonely in the crowd,” full of frustrations, brimming with anger and agitated by all the misguided policies that would in the long run ruin the country’s economy. The large crowd on the streets has given them enough courage to come out, feeling liberated, wanting to join and articulate their pent up sentiments in the faceless but powerful waves of their fellow citizens.

The organizers and leaders of the demonstrations on Rajadamneon and in every corner of the country realize very well that the larger number matters to the international community. The dividing line between an ordinary political protest and a general uprising is very thin. It is the size of the crowd that makes the difference. A couple of thousands on the streets you could be a group of rebels. Four or five hundred thousands to a million and over, and you would be considered an expression of People’s Power. They also realize that a large number of humanity on the streets means more than just a normal power play. They cannot be accused of being undemocratic, not accepting the democratic process, defiant against the parliamentary majority. A large number of people on the streets in any capital of the world has its own weight, its own logic and its own legitimacy.

Thus, the teaching of John Locke on the right of revolution has also been referred to on the Campuses of Thammasat and other academic institutions. When there is no power on earth to adjudicate between the people, the Fount of Sovereignty, and the Supreme Legislature which has gone astray, “the people have no other remedy in this, as in all other cases where they have no Judge on Earth, but to appeal to Heaven.”

This clause, to appeal to Heaven, has been interpreted, since the writing of the Second Treatise on Civil Government in 1690, as the right to revolt against unjust and tyrannical government. And the bloodless and peaceful Glorious Revolution of 1688 was a modality of non-violent resistance that Locke tried to explain and justify.

Millions of Thais also hope that their resistance would be peaceful and glorious. And they fervently believe in their just cause to raise their hands to the Heaven on High and Appeal for justice and a reprieve from the transgression of power that was theirs originally, but “reposed” in the wrong hands. They expect the international community to sympathise with them and, in the final analysis, would not regard them as “undemocratic and unconstitutional, rejecting the majority rule”, but would consider them as merely exercising their right of forfeiting the trust back from a government which has manifestly abused it.

So, going forward, let the world not be surprised by the ever large number of people coming on to the streets of Bangkok. They are no longer lonely in the crowd. They sense the solidarity. They are convinced of the righteousness of their Cause. They know the number matters to the international community.

By Surin Pitsuwan
Tun Abdul Razak Fellow (2013-2014)
Oxford Centre for Islamic Studies (OXCIS)
University of Oxford, UK