วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นายอานันท์ ปันยารชุน


"คนไทยจำนวนหนึ่ง ... ฟังไม่เป็น คิดไม่ออก พูดไม่จริง และทำไม่ถูก"

ประวัติ

นายอานันท์ ปันยารชุน เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 12 คน ของมหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์(เสริญ ปันยารชุน) ชาวไทยเชื้อสายมอญ กับคุณหญิงปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร) ชาวไทยเชื้อสายจีน (แคะ)ซึ่งตัวเขาเองมีเชื้อสายจีนมาจากยายซึ่งใช้แซ่เล่า (จีน: หลิว)
พี่น้องของนายอานันท์ ปันยารชุนมีดังนี้
  1. สุธีรา เกษมศรี ณ อยุธยา
  2. ปฏดา วัชราภัย
  3. กุนตี พิชเยนทรโยธิน
  4. จิตรา วรวรรณ ณ อยุธยา
  5. ดุษฎี โอสถานนท์
  6. กรรถนา อิศรเสนา ณ อยุธยา
  7. สุภาพรรณ ชุมพล ณ อยุธยา
  8. ดร.รักษ์ ปันยารชุน
  9. กุศะ ปันยารชุน
  10. พันตำรวจเอก ประสัตถ์ ปันยารชุน
  11. ชัช ปันยารชุน
ส่วนนายอานันท์สมรสกับหม่อมราชวงศ์สดศรีสุริยา จักรพันธุ์ ธิดาหม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์ และหม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด รพีพัฒน์ มีธิดา 2 คนคือ
  • นางนันดา ไกรฤกษ์ (สมรสกับ ไกรทิพย์ ไกรฤกษ์ บุตร นายเพิ่มพูน ไกรฤกษ์ อดีตเลขาธิการสำนักพระราชวัง)
  • นางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ (สมรสกับ ชัชวิน เจริญรัชต์ภาคย์ บุตร ศ.ดร.เจริญ เจริญรัชต์ภาคย์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม และ ท่านผู้หญิงสมศรี)

การศึกษาและการทำงาน

นายอานันท์ จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จากนั้นไปศึกษาต่อที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จากดัลลิชคอจเลจ และปริญญาตรีด้านกฎหมาย (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อ พ.ศ. 2498
หลังจบการศึกษา นายอานันท์เข้ารับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2510 จากนั้นย้ายไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศแคนาดา ประจำประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ
ในปี พ.ศ. 2518 นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเดินทางไปสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2519 นายอานันท์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะถูกสั่งพักราชการในปี พ.ศ. 2520 เนื่องจากถูกกล่าวหาโดยรัฐบาลขวาจัดของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ว่ามีแนวคิดฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จากนั้นถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ก่อนจะลาออกจากราชการในปี พ.ศ. 2522
นายอานันท์ หันมาทำงานด้านธุรกิจ ร่วมงานกับกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน จนกระทั่งเป็นประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเมื่อ พ.ศ. 2534 และดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นายอานันท์ขณะเยี่ยมเยือนประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2534

ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นายอานันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยแรกระหว่างวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ถึง 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534 จากการเสนอชื่อโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์เช่นกัน ทั้งเคยร่วมงานกับนายอานันท์ เมื่อ พ.ศ. 2514 ขณะพันโทสุจินดา (ยศขณะนั้น) เป็นรองผู้ช่วยทูตทหารบก ประจำสถานเอกเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน และนายอานันท์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ผลจากการเลือกให้นายอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในตอนนั้นช่วยให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนแรกที่เกิดภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ภารกิจหลักของรัฐบาลนายอานันท์ในสมัยแรก คือ การร่างรัฐธรรมนูญ และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายอานันท์ ได้นำบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ และมีภาพพจน์ที่ดี มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เช่น นายนุกูล ประจวบเหมาะ นายเสนาะ อูนากูล นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
การบริหารประเทศของนายอานันท์ ได้ประกาศเน้นเรื่อง "ความโปร่งใส" นอกจากนั้นยังดำเนินนโยบายเป็นเอกเทศ ไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่งของคณะรสช.ทำให้รัฐบาลได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชน และได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ จนได้รับฉายาว่า "รัฐบาลโปร่งใส" และตัวนายอานันท์เองได้รับฉายาว่า "ผู้ดีรัตนโกสินทร์"
นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ในการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคสามัคคีธรรมได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด จำนวน 79 คน เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคกลับไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ เป็นหนึ่งในบัญชีดำ ผู้ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับการค้ายาเสพติด
พรรคร่วมเสียงข้างมาก ซึ่งประกอบด้วยพรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร จึงสนับสนุนให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พลเอกสุจินดาเคยประกาศว่า จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกล่าวในเวลาต่อมาว่า จำเป็นต้อง "เสียสัตย์เพื่อชาติ"
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา ทำให้เกิดกระแสการคัดค้านอย่างรุนแรง มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่ท้องสนามหลวงเพิ่มขึ้นจนถึงห้าแสนคน จนนำมาสู่การใช้กำลังปะทะ และปราบปรามในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 หรือ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ภายหลังเหตุการณ์ความรุนแรง พลเอกสุจินดาประกาศลาออกจากตำแหน่ง ฝ่ายพรรคร่วมเสียงข้างมาก ร่วมกันสนับสนุนให้ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่แล้วนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ได้ตัดสินใจเสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ แทนที่จะเป็นพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยรัฐมนตรีส่วนใหญ่ เป็นรัฐมนตรีที่เคยดำรงตำแหน่งมาก่อนในสมัยแรก
นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2535 ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด และนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 20
พ.ศ. 2551 นายอานันท์ได้รับการติดต่อจาก พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี ให้เข้าร่วมแผนการณ์ล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่อยู่ระหว่างรอเสนอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และให้นายอานันท์ ปันยารชุน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน[7] ซึ่งนายอานันท์ไม่ได้ตอบรับร่วมแผนการณ์ดังกล่าว

คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ

นายอานันท์ ปันยารชุน ได้เข้ามารับหน้าที่ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ภายหลังการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พ.ศ. 2553 ยุติลง ในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยทำหน้าที่ยกร่างแผนปฏิบัติการที่สามารถนำไปปฏิบัติ และแก้ไขปัญหาความอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยคณะกรรมการ จำนวน 19 คน ทำงานคู่ขนานไปกับคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

  • พ.ศ. 2510 - King Rama IX Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่3
  • พ.ศ. 2511 - Order of Chula Chom Klao - 2nd Class lower (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า (ท.จ.)
  • พ.ศ. 2517 - Order of the White Elephant - 1st Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย
  • พ.ศ. 2520 - Order of the Crown of Thailand - 1st Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก
  • พ.ศ. 2531 - Order of the Crown of Thailand - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
  • พ.ศ. 2534 - Order of Chula Chom Klao - 2nd Class upper (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษฝ่ายหน้า (ท.จ.ว.)
  • พ.ศ. 2534 - Order of the White Elephant - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
  • Order of the Direkgunabhorn 1st class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

  • พ.ศ. 2504-ribbon bar เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์เมอริทแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นที่สาม ประเทศอิตาลี
  • พ.ศ. 2513-ribbon bar Order of Diplomatic Service Merit ประเทศเกาหลี
  • พ.ศ. 2514- Bintang Jasa ประเทศอินโดนิเซีย
  • พ.ศ. 2533- Ordre de la Couronne (Belgique)
  • พ.ศ. 2534- ribbon bar เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ประเทศญี่ปุ่น
  • พ.ศ. 2535- Order of the British Empire




วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา



รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา หรือที่นิยมเรียกกันว่า ดร.เสรี เป็นนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการที่ต่อต้าน รัฐบาลยิ่งลักษณ์


รองศาสตราจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา (เกิด: 14 มีนาคม พ.ศ. 2492 ที่: อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก; (ชื่อเล่น: อี๊ด)) หรือที่นิยมเรียกกันว่าดร.เสรี เป็นนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการที่ต่อต้าน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และเข้าร่วมขับไล่ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์รายการ เกาที่คัน ร่วมกับ รณชาติ บุตรแสนคม ทุกวันศุกร์ 21:00–22:00 น. และ รายการคลายปม ร่วมกับ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองทุกวันอาทิตย์ 21:00–22:00 น. ทางสทท.
นอกจากแวดวงวิชาการและการศึกษาแล้ว ยังมีชื่อเสียงในฐานะนักพูด นักบรรยาย และพิธีกร รวมถึงเป็นนักแสดงในภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์หรือละครเวที ด้วยในบางโอกาส อีกทั้งยังเป็นบุคคลสาธารณะในสังคมไทยคนแรก ๆ ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นกะเทย โดยมีผลงานเด่นเป็นที่รู้จักกันดีคือละครเวทีเรื่อง "ฉันผู้ชายนะยะ" ใน พ.ศ. 2530 และนำกลับมาแสดงใหม่อีกครั้งในต้น พ.ศ. 2553 เป็นประธานบริหารการประกวดสาวประเภทสอง Miss International Queen

ประวัติการศึกษา

เริ่มศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนสรรพวิทยาคม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แล้วย้ายมาศึกษาต่อ ณ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และสามารถสอบเข้าคณะศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวรรณคดีอังกฤษและภาษาต่างประเทศ ด้วยคะแนนอันดับหนึ่งของผู้เข้าสอบทั้งประเทศ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จนได้รับทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทคณะ Master of Arts for Teachers (English) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองซีแอทเทิล สหรัฐอเมริกา ปริญญาโท Journalism Advertising มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น เมืองเอแวนสตัน ปริญญาเอกวารสารศาสตร์ด้านสื่อสารการเมืองจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นอิลลินอยส์ เมืองคาร์บอนเดล

ประวัติการทำงาน

ทางวิชาการ เคยเป็นคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นอาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์และการสื่อสารการตลาดในมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง
ทางธุรกิจ เคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทเท็ด เบทส์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทฟาร์อีสแอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายตลาดบริษัทสยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ประธานกรรมการเบ็ตเตอร์ อิมแพค คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (BIC) และประธานกรรมการบริษัทกูด คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และ เป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร
ในทางการเมือง เป็นหนึ่งในผู้ร่วมขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ใน พ.ศ. 2549 รวมทั้งเคยเป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดูแลด้านการศึกษา (โดยมี ประวิทย์ รุจิรวงศ์สมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร) ในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2533 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ด้วย แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง และยังเป็นที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์และรณรงค์หาเสียงให้แก่พรรคชาติไทยด้วย
ได้รับรางวัลกิตติคุณสังข์เงิน บุคคลดีเด่นด้านวิชาการของสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

การงาน

  • วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 ผู้เชี่ยวชาญประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร ศูนย์วิทยบริการกรุงเทพมหานคร (ปัจจุบัน)
  • คณบดีคณะวารศาสตร์ศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
  • ผู้อำนวยการโครงการนิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
  • พิธีกรรายการเมืองไทยใสสะอาด (ไอทีวี)
  • พิธีกรรายการยายเม้าวอนสอนหญิง (ช่อง 3)
  • พิธีกรรายการเกาที่คัน (ช่อง 11)
  • พิธีกรร่วมรายการคลายปม (ช่อง 11)
  • พิธีกรรายการข่าวแสนกล (บลูสกายแชนแนล)
  • 14 พฤษภาคม 2557 จากวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 ศาลอาญาอนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส. รวม 43 คน ผู้ต้องหาคดีกบฏ และความผิดอื่น รวม 8 ข้อหา เพื่อติดตามตัวมาดำเนินกระบวนการตามกฎหมาย ดร.เสรี วงษ์มณฑา เป็นผู้ต้องหาหมายเลขที่ 26

“ดร.เสรี” ชำแหละระบอบทักษิณ สร้างความแตกแยกให้สังคม!


   วันนี้ (27 พ.ค.) เมื่อเวลา 20.00 น. ดร.เสรี วงศ์มณฑา กล่าวบนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร คอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 2 ว่า ขอร้องให้ประชาชนอย่าเพิ่งเบื่อการเมืองจนไม่มาร่วมชุมนุมกันต่อ เพราะฝ่ายตรงข้ามกำลังรอให้ประชาชนเบื่อการเมืองจะได้หยุดมาชุมนุม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้ประเทศเสียหายมากไปกว่านี้ สำหรับตนเองจะยืนหยัดในการชุมนุมไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าทางแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งประชาชนจะตั้งคำถามไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไรก็ยังไม่เคยได้ยินคำตอบเลย ดังนั้น ตนจึงเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดตามข้อกล่าวหาของแกนนำพันธมิตรฯ จึงไม่กล้าจะออกมาตอบคำถามทั้งหมด
   ดร.เสรี กล่าวต่อว่า หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา นอกจากพรรคไทยรักไทยจะได้คะแนนน้อยลงแล้ว ยังมีปรากฏการณ์ no vote สูง ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งนอกจากไม่เอาทักษิณแล้วยังไม่ต้องการะบอบทักษิณอีกด้วย
   โดย ดร.เสรี ได้ชำแหละระบอบทักษิณเอาไว้หลายประการ โดยประการแรก เป็นระบอบ “ข้าคิดคนเดียว” หมายถึงบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายนั้นไม่ต้องเปลืองสมองในการคิด เพียงทำตามทุกอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พอ จึงทำให้บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายสมองฝ่อไปหมดแล้ว
   ประการที่ 2 “มีวาระซ่อนเร้น” ทั้งนี้เพราะนโยบายทุกเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำนั้นดูเหมือนมีประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน, โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ฯลฯ แต่ถ้าเจาะเข้าไปในทุกโครงการจะพบ “วาระซ่อนเร้น” เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น
   ประการที่ 3 พ.ต.ท.ทักษิณทำงานสไตล์ “สบายใจไร้การตรวจสอบ” ทั้งนี้เพราะ พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคเดียวที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ แม้รัฐธรรมนูญจะแต่งตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาเพื่อให้ตรวจสอบรัฐบาล แต่ทุกวันนี้องค์กรอิสระหลายแห่งก็ยังทำงานรับใช้รัฐบาล นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังนำพรรคพวกของตัวเองรวมถึงผู้บริหารของชินคอร์ปเข้าไปเป็นกรรมการการบินไทย
   ประการที่ 4 เป็นระบอบ CEO คือ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถสั่งการได้ทุกเรื่อง ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ จนกลายเป็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอะไรถูกไปหมด
   ประการที่ 5 “เอาพวกพ้อง” หมายถึงถ้าใครยอมเป็นพวกด้วยก็จะได้ดี แต่ถ้าใครไม่สนองตามความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะต้องถูกไล่ออกไป ดังจะเห็นได้จากการโยกย้ายคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ ออกไปจากตำแหน่งและโยกย้ายญาติและพวกพ้องเข้ามาดูแลผลประโยชน์ให้
   ประการที่ 6 ระบอบทักษิณสร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างรุนแรง โดย ดร.เสรี ได้ขอร้องให้ประชาชนอย่าทะเลาะกันแม้ว่าจะมองเรื่องการเมืองกันคนละมุมก็ตาม
   ประการที่ 7 ระบอบทักษิณสร้างนิสัย “เชลียร์” ดังจะเห็นได้จากในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ลางานไปนั้น บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายก็ไม่ทำงาน ไม่ยอมแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ แต่พอ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาทำงานวันแรก บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายรีบกลับมาทำงานทันทีเช่นกัน
   สำหรับเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ที่กำลังเป็นข่าวอยู่นั้น ดร.เสรี ให้ความเห็นว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่สนใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำมาตลอด 5 ปีที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลนั้นประจักษ์ชัดว่ากระทำการสอดคล้องกับปฏิญญาทั้ง 5 ข้อจริงๆ โดย ดร.เสรี ได้ยกตัวอย่าง ในเรื่องการใช้ประชานิยมยึดรากหญ้า แล้วแปรรูปเพื่อครอบครองเศรษฐกิจ เป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่ทำงานโดยไม่มีใครขัดขวาง ซื้อข้าราชการจากรับใช้ชาติมาเป็นรับใช้ชินคอร์ป
   “ผมไม่ได้รังเกียจ พ.ต.ท.ทักษิณที่จะกลับมาเป็นนายกฯ แต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องตอบคำถามทั้งหมดก่อน เพื่อล้างตัวเองให้สะอาดก่อนที่จะกลับมาบริหารบ้านเมือง” ดร.เสรี กล่าวทิ้งท้าย

Cr: http://www.manager.co.th

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มวลมหาประชาชน

มวลมหาประชาชน

เมื่อใดที่ประเทศต้องการ
เราจะมาและมามากกว่าเดิม

มวลมหาประชาชน คือ กลุ่มประชาชนจำนวนมากที่ออกมาเดินขบวนเพื่อขับไล่รัฐบาลในระบอบทักษิณ ซึ่งมีพรรคแกนนำรัฐบาลคือ พรรคเพื่อไทย และมีนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์ น้องสาวของ นายทักษิณ ชินวัฒน์(ซึ่งตอนนี้หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ) เพื่อที่จะทำการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง จึงทำให้เกิดความตื่นรู้ของประชาชน ในเรื่องของกฏหมาย การเมือง และความเป็นประชาธิปไตย ตื่นรู้ในการกระทำอันช่อฉนของนักการเมือง และทำให้รู้ว่า การเมืองไม่ควรเป็นธุรกิจ ทำให้รู้ถึงพิษภัยของระบบข้าราชการที่เดินหน้าด้วยผลประโยชน์ และอีกมากมายหลายอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องดีต่อประเทศ
และนี่คือ บุคคลที่ควรจารึกไว้ในสังคมไทย ไปชั่วลูกชั่วหลาน








แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์


1. ถ้าทำงานอะไรต้องทำด้วยความรัก และศรัทธาในงานนั้นๆ
2. ต้องเข้าใจสัจธรรมว่าทำอะไร ไม่ได้ดั่งใจเสมอ และไม่ท้อถอย
3. ทำสิ่งที่ดี และตระหนักว่าไม่ทำให้คนอื่นและตนเองเดือดร้อน
4. ทำงานเพื่อให้สังคมดีขึ้น การเป็นคนดีแต่ไม่กล้าทำความดีนั้น ไม่มีประโยชน์


ผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงใช่ว่าจะเป็นเพศที่หน่อมแน้ม ขี้กลัว เสมอไป เธอคือ“แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์” ที่ได้บอกสังคมให้รู้ว่าความกล้าแบบสาหัส และตรงไปตรงมา “ผู้หญิง” ก็เป็นได้ แม้กระทั่งการอยู่กับศพ ผ่าพิสูจน์ศพ สุดยอดแห่งความกลัวของคนจำนวนมาก (Cr:www.positioningmag.com)

แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ หรือชื่อเดิมว่า พรทิพย์ ศรศรีวิชัย (เกิด 21 ธันวาคม พ.ศ. 2497) เป็นนิติแพทย์และนักนิติวิทยาศาสตร์ชาวไทย ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม

การศึกษา

พรทิพย์จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย และเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในระหว่างปี พ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2522 และได้รับวุฒิบัตรผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี พ.ศ. 2525 และในปี พ.ศ. 2538 ได้รับอนุมัติเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้แล้วยังได้รับวุฒิบัตรฯจากต่างประเทศ ได้แก่
  • 2541 Forensic Anthropology จาก Armed Forces Institute of Pathology Washington, DC สหรัฐอเมริกา
  • 2542 Forensic Pathology จาก Armed Forces Institute of Pathology Washington, DC สหรัฐอเมริกา
  • 2548 ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร
  • 2548 ได้รับปริญญาแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรังสิต
พรทิพย์เป็นชาวกรุงเทพฯ สมรสกับวิชัย โรจนสุนันท์ มีธิดา 1 คน ชื่อ ญารวี โรจนสุนันท์

ประวัติการทำงาน

พรทิพย์เคยรับราชการในตำแหน่ง แพทย์หญิง ระดับ 4 ประจำ โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ในปี พ.ศ. 2523 ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 จึงย้ายมาเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา และหัวหน้าหน่วยนิติเวชและหน่วยตรวจศพ ภาควิชาพยาธิวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ในระหว่างนั้นยังได้ดำรงตำแหน่ง กรรมการสภาคณาอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2541 และตำแหน่ง ประธานสภาอาจารย์รามาธิบดี พ.ศ. 2541-พ.ศ. 2542 อีกด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 ได้โอนมาดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองการแพทย์ สถาบันพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง จังหวัดนนทบุรีและโฆษกกระทรวงยุติธรรม ในปี พ.ศ. 2546 ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และในปี พ.ศ. 2548 ได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กระทั่งในปี พ.ศ. 2551 ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (นักบริหาร ระดับสูง)และในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผลงาน

  • การพิสูจน์ศพ “ห้างทอง ธรรมวัฒนะ”
  • ร่วมชันสูตรชิ้นเนื้อและรวบรวมหลักฐานในคดีที่นายแพทย์วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ฆ่าหั่นศพแพทย์หญิงผัสพรภรรยาของตนเอง
  • การพิสูจน์เอกลักษณ์ผู้ตาย ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ ณ วัดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
  • การพิสูจน์ศพนิรนามในสุสาน จ.ปัตตานี
  • การหาหลักฐานเพื่อค้นหาทนายสมชาย นีละไพจิตร
  • การตรวจดีเอ็นเอ แด็ก บิ๊กแอส, ฝ้ายและน้องจัสติน
  • การตรวจดีเอ็นเอ พิสูจน์ความเป็นพ่อของ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง
  • นักเขียนคอลัมน์ "คุ้ยแคะความคิดกับหมอแพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์" ในเว็บไซต์เสถียรธรรมสถาน
  • งานเขียนคอลัมน์พิเศษใน หนังสือพิมพ์ข่าวสด เรื่อง แกะรอยแก๊งส์โอรส วัยรุ่นนักเลงหรือผู้ป่วยทางจิต โดยใช้นามปากกาว่า ทิพย์ โอรส
  • งานเขียน เช่น แกะรอย DNA, คิดทางขวาง, ใต้คมมีดหมอ, ทำเพื่อศพ, บันทึกสึนามิ, ป่วยเป็นศพ, เปรี้ยวหลบใน, รักเป็นศพ วัยรุ่น...วุ่นวาย...สดใสหรือแสบซ่า, ศพพูดได้, สอนด้วยศพ, สืบจากดวง, สืบจากศพ, สืบจากศพ ภาค 2, สู้เพื่อศพ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

  • พ.ศ. 2556 - Order of the White Elephant - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
  • Order of the Crown of Thailand - Special Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
  • Order of the White Elephant - 1st Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
  • Order of Chula Chom Klao - 4th Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า (จ.จ.)
  • Order of the Direkgunabhorn 5th class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 5 เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ (บ.ภ.)
  • Border Service Medal (Thailand) ribbon.png เหรียญราชการชายแดน (ช.ด.)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

  • Order of the Polar Star - Ribbon bar.svg The Royal Order of the Polar Star ชั้น Member First Class (สวีเดน)

รางวัลเกียรติคุณ

  • ปี 2541 โล่สดุดีเกียรติคุณการส่งเสริมจริยธรรมนิสิตนักศึกษาแพทย์
  • ปี 2540 – 2541 รางวัลสาขาจรรยาบรรณวิชาชีพ
  • ปี 2547 รางวัล Beauty of Science Award เพื่อเป็นการเชิดชูนักวิทยาศาสตร์สตรีผู้ที่นำมาซึ่งมิติใหม่แห่งวงการวิทยาศาสตร์
  • ปี 2550 รางวัลสตรีนักส่งเสริมสิทธิมนุษยชนดีเด่น จากงานประกาศเกียรติคุณของสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


“แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์” หนึ่งใน 70 แพทย์ ด้านนิติเวชวิทยาของไทย และเธอยังเป็น 1 ในแพทย์หญิงด้านนิติเวชที่มีเพียง 10 คนเท่านั้น เธอมีดีกรีทางการแพทย์ และเกียรติคุณทางสังคม ตลอดจนผลงานทางวิชาการด้านการแพทย์มากมาย



ชีวิต
- การแต่งกายอย่างมีสีสัน ทั้งเสื้อผ้า และเครื่องดับ เป็นความสุขเหมือนการชาร์จแบตฯ หลังทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย
-ฟังเพลงป๊อป และฮิพฮอพ
-อ่านหนังสือและเขียนหนังสือ พิมพ์แล้วประมาณ 27 เล่ม ที่โด่งดัง เช่น “สืบจากศพ” และ “สู้เพื่อศพ”
-อ่านหนังสือธรรมะ

รัฐบาล ยิ่งลักษณ์
เมื่อเห็นว่า คุณหญิงหมอ ไม่เดินตามความประสงค์ของตนจึงได้โยกย้ายคุณหญิงหมอออกจาการเป็นผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์