ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ (8 มีนาคม พ.ศ. 2489 - ) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีกังขาในการทำงานมากที่สุดคนหนึ่งและอดีตประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา
การศึกษา
นายวิชา จบการศึกษาปริญญาตรีและโท จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนติบัณฑิตไทย ปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาบัตรการป้องกันราชอาณาจักรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 41 ประกาศนียบัตร
การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 11
(สถาบันพระปกเกล้า) นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษ แห่ง
คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยได้รับทุน
จากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ให้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง
"การเผยแพร่ความรู้กฎหมายไปสู่ชนบท"ณ ศูนย์ศึกษาเมืองเบลลาจิโอ
ประเทศอิตาลี กับได้รับทุนจากองค์การอนุเคราะห์เด็กแห่งนอรเวย์
ให้ศึกษาวิจัยเรื่อง "การทารุณกรรมเด็ก"
รวมทั้งได้รับทุนฝึกอบรมด้านบำบัดผู้ติดยาเสพติด ณ นครนิวยอร์ก
จากองค์การเดท็อป แห่ง สหรัฐอเมริกา และผ่านการศึกษาหลักสูตร
Cambridge-Thammasat Executive Education Programme ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ประเทศอังกฤษ
การทำงาน
นายวิชา เริ่มรับราชการครั้งแรกในตำแหน่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ต่อมาได้โอนไปรับราชการเป็น พนักงานอัยการ ตำแหน่งสุดท้ายก่อนไปเป็นตุลาการ
คือ อัยการจังหวัดผู้ช่วยจังหวัดกำแพงเพชร
ส่วนตำแหน่งในทางตุลาการเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลจังหวัดแพร่
ผู้พิพากษาประจำกระทรวงช่วยทำงานทำเนียบนายกรัฐมนตรี
ทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวนายกรัฐมนตรี (นายธานินทร์ กรัยวิเชียร)
ผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานี
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดอุบลราชธานี เลขานุการศาลฎีกา
ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการศาลฎีกาได้ถูกคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ออกจากราชการ เมื่อ พ.ศ. 2535 ด้วยข้อหาขัดคำสั่งรัฐมนตรี เมื่อครั้งเกิดกรณี "วิกฤตตุลาการ"
แต่ได้ทูลเกล้าถวายฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าว
ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโดยมีพระราชกระแสว่า
ไม่สมควรออกจากราชการ รัฐมนตรีจึงมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งที่ให้ออกจากราชการ
ดังนั้นนายวิชาจึงยังคงดำรงตำแหน่งตุลาการเช่นเดิม ต่อมาจึงได้รับโปรดเกล้า
ฯให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค1
รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค2และภาค1ตามลำดับ
กับได้รับเลือกตั้งให้เป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิ สองสมัย
และเป็นศาสตราจารย์พิเศษแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[กรณี
วิกฤตตุลาการ นายวิชาได้บันทึกไว้ในหนังสือชื่อ บันทึกประวัติศาสตร์ 100ปี
กระทรวงยุติธรรม"การต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระแห่งอำนาจตุลาการ กรกฎาคม
2534-มีนาคม 2535"
นายวิชา มหาคุณ ดำรงตำแหน่งสุดท้ายในราชการศาลยุติธรรม คือ
ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา
ก่อนจะถูกเสนอชื่อจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นกรรมการการเลือกตั้ง และได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับเลือกเป็น กกต.เพราะได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2549
นายวิชา มหาคุณ ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2549 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549 ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และได้รับโปรดเกล้าฯเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550โดย
ได้รับการคัดเลือกให้เป็นรองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 3
ประธานอนุกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญกรอบที่ 3 ว่าด้วยองค์กรอิสระและศาล
ตลอดเวลานับแต่เข้ามาเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) นายวิชา มหาคุณกรรมการและโฆษกปปช.
ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงกว่าบรรดาคณะกรรมการปปช.ทุกคนเลยก็ว่าได้
แต่สิ่งที่ถูกจับตามองจากสังคมอย่างมากคือในเรื่องของจุดยืนและความเป็นกลาง
เนื่องจากต้องยอมรับว่าในสังคมภาพรวมได้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่าจริงๆแล้วนาย
วิชา มีความเป็นกลางทางการเมืองมากน้อยเพียงใดเมื่อดูจากพฤติกรรมการแสดงออก
คำพูดคำจาเวลาที่ให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็น
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พ.ศ. 2541
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)