โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ
-โครงการของพรรคพลังประชาชนอัยการแจงปมสั่งไม่ฟ้อง“บ.พีซีซี-ผู้บริหาร”ทุจริตก่อสร้าง 396 โรงพัก
เมื่อวันที่ 14 ต.ค. นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษและโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงความคืบหน้า กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีฉ้อโกงและคดีฮั้วประมูล ที่บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นต์ แอนด์ คอนตรัคชั่น จำกัด พร้อมพวกผู้บริหาร ผู้ต้องหา ในโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ ว่า ขณะนี้ตนยังไม่เห็นสำนวนดังกล่าว เนื่องจากเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งในวันนี้ จึงขอตรวจสอบสำนวนคดีก่อนผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงสำนักงานอัยการสูงสุดระบุว่า สำหรับสำนวนคดีฉ้อโกงที่ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นต์ แอนด์ คอนตรัคชั่น จำกัด ,นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานบริษัท พีซีซีฯ , นายวิศณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท พีซีซีฯ และนายจตุรงค์ อุดมสิทธิกุล กรรมการบริษัท พีซีซีฯ ผู้ต้องหาที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงเงินค่าก่อสร้างผู้รับเหมาช่วง ในโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน396 แห่งทั่วประเทศ จำนวนกว่า 90 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 นั้น
โดยอัยการฝ่ายคดีพิเศษได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากพิจารณาสำนวนแล้วว่า ผู้รับเหมาช่วงได้เข้าร้องทุกข์ต่อดีเอสไอ ว่า ไม่ได้รับเงินค่าจ้างและเงินค่าดำเนินการต่างๆจากบริษัทพีซีซี ซึ่งทางอัยการพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นการหลอกลวง แต่เป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง เนื่องจากบริษัทพีซีซีไม่จ่ายเงินให้ผู้รับเหมาช่วงตามงวดสัญญา ทำให้ผู้รับเหมาช่วงไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างสถานีตำรวจให้เสร็จสิ้นได้ และบริษัทพีซีซีก็เคยเป็นผู้รับเหมาและมีประวัติการทำงานก่อสร้างโครงการใหญ่มาก่อน เห็นว่า บริษัทพีซีซีไม่มีเจตนาฉ้อโกงและไม่มีมูลทางคดีอาญาจึงสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว
ส่วนคดีฮั้วประมูล ที่บริษัท พีซีซี ฯ , นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานบริษัท พีซีซีฯ และ นายวิศณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท พีซีซีฯ ผู้ต้องหาที่ 1-3 ข้อหา โดยทุจริตร่วมกันเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่า ราคานั้นต่ำมากเกินกว่าปกติ (ต่ำกว่าราคากลางถึง 540 ล้านบาท) จนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการ หรือเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทำเช่นว่าเป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 8 นั้น
โดยอัยการฝ่ายคดีพิเศษก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นกัน เนื่องจากเห็นว่าการประมูลโดยวิธีอีอ็อกชั่นของ สตช. เป็นการประมูลอย่างถูกต้องและมีการแข่งขันราคากันหลายครั้ง ส่วนที่ดีเอสไอระบุว่า บริษัทพีซีซีเสนอราคาต่ำกว่าความเป็นจริงมากเกินกว่าปกตินั้น ก็ไม่ปรากฏว่าการเสนอราคาต่ำมากจนเกินไปและต่ำกว่าเกณฑ์ของกระทรวงการคลังแต่อย่างใด
ทั้งนี้ดีเอสไอจะมีความเห็นแย้งอัยการหรือไม่นั้น ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ หากดีเอสไอเห็นพ้องด้วยกับอัยการคดีก็ถือเป็นที่ยุติ แต่หากดีเอสไอยืนยันตามเดิม สมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ก็จะต้องส่งสำนวน ให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด เป็นผู้ชี้ขาดว่า จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่.
CR: www.dailynews.co.th
ทุจริตการสร้างโรงพัก 396 แห่ง ข่าวสารที่หายไป
จากกระทู้สนทนา Pantip.comผมสงสัยจริง ๆ นะครับว่า ในเมื่อบล็อกเนชั่นเป็นบล็อกที่รวมข่าวสารต่าง ๆ ไว้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะ ข่าวสารด้านการเมือง การบริหาร กีฬา บันเทิงและที่สำคัญ คือ ข่าวทุจริตต่าง ๆ ที่ทะยอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งก็มีหลากหลายสาระของการทุจริต เช่น ทุจริตจำนำข้าว ผลกระทบจากค่าแรงสามร้อยบาท
แต่ข่าวการทุจริตที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ผมพยายาม แต่ไม่เคยเจอเลยในบล็อกเนชั่น คือ กรณีทุจริตงบประมาณเงินกู้ไทยเข้มแข็งในการสร้างโรงพักทั่วประเทศ 396 แห่ง พยายามหาอย่างไรก็ไม่เจอ หรือผมค้นหาไม่ดีพอก็เป็นได้ ก็เลยอยากจะนำเสนอเรื่องนี้ในบล็อกเนชั่นเพื่อความครบถ้วนรอบด้านของข้อมูลข่าวสารนะครับ
โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 แห่งทั่วประเทศ ตกเป็นข่าวอื้อฉาว เนื่องจากก่อสร้างไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดอีกหลายแห่งยังไม่ได้ลงมือก่อสร้าง แต่ได้ทุบอาคารหรือโรงพักหลังเก่าทิ้งไปแล้ว เพื่อใช้สถานที่ในการก่อสร้างทำให้เกิดสภาพทุลักทุเลและน่าสังเวช เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสถานที่ทำงาน ต้องไปเช่าอาคารของเอกชนบ้าง ขอใช้สถานที่หน่วยราชการ บางที่ต้องกางเต็นท์เป็นสำนักงานชั่วคราวหลายๆ แห่งต้องหันไปพึ่งพาวัด ทั้งไปจัดประชุมที่ศาลาการเปรียญบ้างไปขอใช้ศาลเจ้า
โครงการก่อสร้างดังกล่าวตั้งงบประมาณไว้ 6,672 ล้านบาท อยู่ในโครงการไทยเข้มแข็ง ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2555 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.พรรครักประเทศไทย ได้นำเรื่องนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติแฉสภาพของโรงพักมีแต่เสา สนิมเขรอะ รกร้าง บางโรงพักทุบโรงพักเก่าเพื่อนำพื้นที่มาก่อสร้าง แต่ทำไม่เสร็จ ผู้รับเหมาทิ้งงานสุดท้าย กลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่รับแรงเหวี่ยงจากเรื่องนี้ไปเต็ม ๆ เพราะโครงการดังกล่าวริเริ่มและทำสัญญากันสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ย้อนกลับไปช่วงเริ่มโครงการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร. เสนอแยกประมูลเป็นรายภาค รวม 12 สัญญา เพื่อความรวดเร็ว และกระจายรายได้ให้ผู้รับเหมาท้องถิ่นด้วย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายก ฯ ขณะนั้น อนุมัติเมื่อ 9 มิถุนายน 2552 ปลายปี 2552 หลังจาก พล.ต.อ.พัชรวาท ถูกย้าย ก็มีการเปลี่ยนให้รวมทุกโครงการ จาก 12 สัญญา เป็นสัญญาเดียว ในปลายปีนั้นเอง ขณะนั้น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็นรักษาราชการ ผบ.ตร.
นายสุเทพอนุมัติให้จัดจ้างบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ก่อสร้าง วงเงิน 5,848 ล้านบาท เมื่อ 11 ตุลาคม 2553 สัญญาเริ่มต้น 26 มีนาคม 2554 สิ้นสุด 17 มิถุนายน 2555 เวลาการก่อสร้างรวม 450 วัน บริษัทขอขยายสัญญา 3 ครั้ง ครั้งแรก ขยาย 30 วัน ครั้งที่ 2 ขยาย 180 วัน และครั้งที่ 3 ขยาย 60 วัน ครบกำหนดเวลาก่อสร้าง 14 มีนาคม 2556 โดยสัญญากำหนดให้จ่ายเงินล่วงหน้าให้ผู้รับจ้างร้อยละ 15 ของราคาค่าจ้างกรมสอบสวนคดีพิเศษที่เข้ามาจับคดีนี้ ได้ลงพื้นที่ช่วงปลายเดือนมกราคม พบว่าการก่อสร้างไม่มีความคืบหน้า คาดว่าบริษัทคู่สัญญาทำไม่เสร็จทันกำหนด 14 มีนาคมนี้แน่นอน
เพื่อแก้ปัญหาบริษัททิ้งงาน มีแนวโน้มว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเลิกสัญญากับผู้รับเหมารายนี้ จากนั้นจะเปิดประมูลใหม่ เพื่อเร่งรัดก่อสร้างโรงพักต่อไป ส่วน "ความเสียหาย" ต่างๆ จะต้องมีการสะสางทั้งค่าใช้จ่ายจากการต้องไปเช่าอาคารสถานที่ ค่าเสียหายจากการก่อสร้างล่าช้า ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.เสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตราใดบ้างหรือไม่ ที่สำคัญคือ ข้าราชการการเมืองที่เข้ามามีส่วนร่วม จะต้องรับผิดชอบอย่างไร ความเสียหายชัดเจน ผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และประชาชนตำตาชัดเจน เป็นอีกเรื่องที่กลุ่มต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น น่าจะให้ความสนใจ
ไม่ทราบว่าบรรดาบล็อกเกอร์ของเนชั่นมีความเห็นว่าอย่างไร การทุจริตแบบนี้สมควรลากไส้และแฉออกมา ตลอดจนเอาเรื่องให้ถึงที่สุดต่อทุก ๆ คนและทุก ๆ ฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้าไม่ให้แพ้จำนำข้าวด้วยหรือเปล่า ขอให้ช่วยกันระดมความคิดเห็นหน่อยครับสำหรับกระทู้นี้
เอ้อ แต่แปลกเนอะ ทำไมผมได้เจอกับคลิปวีดีโอของ Nation Channel บอกว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกตำรวจทุกภาคชี้แจงปัญหาการทิ้งงานก่อสร้างโรงพัก เบื้องต้นยังไม่พบทุจริต แบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงครับช่วยกันจัดหนักเลย ท่าน ผบ.ตร. ทำไมถึงได้กล่าวแบบหน้าตาเฉยแบบนี้ครับ
เพิ่มเติม www.oknation.net
ส่อมวยล้มสอบทุจริตสร้างโรงพัก
“เจตน์” ประชุมตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างสร้างโรงพัก 396 แห่งทั่วประเทศ เบื้องต้นชี้ยังไม่พบข้อมูลการทุจริต เอาผิดบริษัทรับเหมา ส่อวืด จับมือใครดม อ้าง บริษัทรับเหมาคุณสมบัติครบ เคยมีประวัติทำสัญญาก่อสร้างโครงการบ้านเอื้อาทร กับการเคหะฯ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาทตามเงื่อนไข พร้อมระบุผู้รับเหมารายย่อยที่ไปรับช่วงต่อมีสิทธิ์ฟ้องศาลปกครองและฟ้องแพ่งได้เต็มที่หาก สตช.ยกเลิกสัญญาวันนี้ (20 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เจตน์ มงคลหัตถี ที่ปรึกษา (10) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานตรวจสอบพิจารณาการดำเนินคดีฐานฉ้อโกงจากกรณีการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียกประชุมพนักงานสอบสวน ประกอบด้วย พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พ.ต.อ.ชนะชัย ลิ้มประเสริฐ รอง ผบก.ปปป. พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รอง ผบก.ปป. พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ ผกก.สน.ประเวศ พ.ต.อ.ปิยะ เจริญสุข ผกก. 1 บก.ป. พ.ต.อ.อัมพล วงศ์ใหญ่ ผกก.สภ.ศรีสำโรง พ.ต.ท.ทินกร สมวันดี รอง ผกก.สส.สน.พลับพลาไชย 1 พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.พงษ์สวัสดิ์ คำปาเชื้อ รอง ผกก.5 บก.ปอศ. พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เที่ยงกมล รอง ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.ณํฐพงศ์ ตรงเที่ยง รอง ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.สิงห์ สิงห์เดช พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.2 ป. พ.ต.ท.ธงชัย อยู่เกษ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก. 2 บก.ป. พ.ต.ท.มิ่งมนตรี พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ กก.2 บก.ป.โดยในวันนี้ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สำนักงานส่งกำลังบำรุง (สกบ.) มาสอบถามถึงข้อมูลและขั้นตอนการปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างขั้นตอนการทำสัญญา รวมทั้งความเสียหายทั้งหมด
พล.ต.อ.เจตน์ กล่าวว่า หลังจากที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้นำข้อมูลมาร่วมหารือแลกเปลี่ยนกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องมีการพิจารณาข้อมูลในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งว่าจะเป็นเรื่องของการฉ้อโกงหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยในขณะนี้ยังไม่พบว่าเข้าข่ายการฉ้อโกงหรือฮั้วประมูลแต่อย่างใด
พล.ต.อ.เจตน์ กล่าวอีกว่า การทำงานครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งข้อมูลที่ได้มาเป็นคนละขั้นตอนกัน แต่เมื่อดูหลักฐานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว พบว่า มีการกระทำบางอย่างชี้ถึงเจตนาตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแจ้งมา
พล.ต.อ.เจตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่มีผู้รับเหมาช่วงบางราย ที่ได้รับความเสียหายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมตัวกันจะฟ้องบริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะกระทำได้ รวมทั้งที่จะมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ในกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยกเลิกสัญญากับบริษัทคู่สัญญาก็สามารถกระทำได้
ส่วนในเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยกเลิกสัญญากับบริษัท พีซีซี ซึ่งทำให้บริษัทรับเหมาช่วงได้รับผลกระทบจนไม่ได้รับค่าจ้าง ก่อนที่จะทิ้งงานในที่สุด โดยบริษัทเหล่านี้ได้ยื่นข้อเสนอให้มีการทำสัญญาตรงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยนั้น ข้อเสนอเหล่านี้ยังไม่สามารถให้คำตอบได้เพราะยังไม่มีการยกเลิกสัญญากับบริษัท พีซีซี
พล.ต.อ.เจตน์ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะพนักงานสอบสวน ว่า ในวันนี้ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานส่งกำลังบำรุง (สกบ.) มาสอบถามถึงข้อมูลและขั้นตอนการปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างขั้นตอนการทำสัญญา รวมทั้งความเสียหายทั้งหมด ซึ่งยังคงย้ำว่า การตรวจสอบคุณสมบัติ การประกวดราคา และการทำเอกสารสัญญาเริ่มแรก กับบริษัท พีซีซี ดิเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ถูกต้องตามขั้นตอน เพราะหนึ่งในคุณสมบัติที่ระบุไว้ คือ เคยมีประวัติทำสัญญาโครงการก่อสร้าง ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท ทางบริษัท พีซีซี ได้เสนอผลงานโครงการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทร ของการเคหะแห่งชาติ มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตรวจสอบกลับไปยังการเคหะฯ และพบมีการทำสัญญาจริง และก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดทุกอย่าง แต่อาจต้องเรียกบริษัท พีซีซี มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม
พล.ต.อ.เจตน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ข้อมูลจากส่วนต่างๆ ค่อนข้างชัดเจน สามารถตอบคำถามได้เกือบทุกประเด็น แต่ยังไม่สมบูรณ์ คงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความรอบคอบที่สุด พร้อมยืนยัน จะพิจารณาทุกประเด็นตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ และคาดว่า ภายในสัปดาห์หน้า จะเสนอความเห็นให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาได้ ซึ่งหากไม่พบมีการฉ้อโกง หรือการกระทำผิดใดๆ ก็จะไม่มีการกล่าวโทษบุคคลใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.ต.จิรารักษ์ สิทธิพันธ์ รองผู้บัญชาการสำนักงานงบประมาณและการเงิน ได้เป็นประธานการปล่อยแถวกำลังพลพร้อมให้โอวาท รวม 27 คณะ จำนวน 81 นาย เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลการก่อสร้างโครงการโรงพักทดแทน 396 แห่ง ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 20-26 กุมภาพันธ์ 2556 หลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อนุมัติงบประมาณให้สถานีตำรวจที่รื้อถอนการปลูกสร้างแล้ว 300,000 บาท และสถานีตำรวจที่ยังไม่รื้อถอน 100,000 บาท เพื่อบริหารจัดการโรงพักให้สามารถบริการประชาชนชั่วคราวได้ในภาวะขาดแคลน
สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจสอบข้อมูลและเก็บรายละเอียดรวมถึงสอบถามปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างรอการดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงโรงพักให้แล้วเสร็จ
CR: www.manager.co.th
“เสี่ยอ่าง”มัด“พงศพัศ-อดุลย์”-โชว์หลักฐานเอี่ยวโกงโรงพักฉาว
ASTVผู้จัดการรายวัน-ชูวิทย์”โชว์หลักฐานทุจริตสร้างโรงพัก ลั่น “พงศพัศ-อดุลย์” ต้องรับผิดชอบ พร้อมควัก 4 แสน.ทำป้ายติดประจานทั่วกรุง “เหลิม” ป้องจูดี้ ไม่โกง ปชป.แฉ'พีซีซี'ทิ้งงาน เจอทหารบอกเลิกสัญญา ด้านที่ปรึกษา (สบ 10) ระบุ ไม่พบหลักฐานฉ้อโกงสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง ตามดีเอสไออ้างวานนี้ (14 ก.พ.56) เวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย แถลงข่าวว่าตนได้จัดทำโปสเตอร์ขนาดใหญ่เพื่อประจานถึงกรณีการทุจริตในโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ (ทดแทน ) จำนวน 396 แห่ง ทั่วประเทศ วงเงิน 5,848 ล้านบาท โดยมีข้อความว่า อาทิ “โครงการโรงพัก จำนวน396 แห่ง ทั่วประเทศ วงเงิน 5,848 ล้านบาท อีกโครงการอัปยศ อย่าปล่อยให้คอร์รัปชั่นลอยนวล ” โดยมีภาพประกอบเป็นภาพโรงพักที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งป้ายดังกล่าวกระจายทั่วกรุงเทพมหานคร จำนวน 2,000ป้าย โดยนายชูวิทย์เปิดเผยว่า ได้ลงทุนเงินส่วนตัวไปกว่า 1 ล้านบาท และในวันนี้จะขึ้นป้ายคัตเอ้าท์ขนาดใหญ่บริเวณทางด่วนมักกะสัน เพื่อต้องการสื่อสารกับประชาชนให้ทราบ โดยนายชูวิทย์ปฎิเธว่าไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการให้ความรู้แก่ประชาชนให้เข้าใจว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นถึงขนาดนี้ ทั้งนี้ยืนยันว่าจะติดตั้งป้ายประจานดังกล่าวต่อเนื่องไปจนกว่าจะหาผู้กระทำผิดได้รวมทั้งมีผู้ออกมารับผิดชอบในเรื่องนี้
ทั้งนี้ เรื่องการทุจริตในโครงการก่อสร้างโรงพัก (ทดแทน)ต้องบอกกับพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่าไม่เกี่ยวกับยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือศักดิ์ศรี แต่เป็นเรื่องของความถูกต้อง และความรับผิดชอบ เพราะเป็นการบริหารสัญญาที่ชุ่ย ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ดังนั้นพล.ต.อ.อดุลย์ อย่าแกล้งหลงประเด็น ตำรวจถนัดเรื่องเบี่ยงเบนประเด็น เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังสือสัญญา แต่อยู่ที่การบริหารสัญญา และขอฝากไปยังนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่านายธาริตก็ไม่มีความชอบธรรม เลือกที่รัก มักที่ชัง ตนเห็นว่านายธาริต เป็นคนขยัน ทำงานถึงวันอาทิตย์ ก็อยากให้เชิญตนไปให้ข้อมูล เพื่อจะได้เอาหลักฐานไปให้
ส่วนการต่อสัญญาก่อสร้างรอบที่ 3 ให้กับบริษัท พีซีซี ดิเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ตามมติครม.วันที่ 7 สิงหาคม 2555 ระยะเวลา 60 วัน โดยมีกำหนดส่งมอบงานในวันที่ 14 มีนาคม 2556 ว่า หนังสือดังกล่าวลงนามโดย พล.ต.ท.สุพร พันธ์เสือ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนผบ.ตร. แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)กลับมีการตัดหลักเกณฑ์ที่เป็นโทษต่อผู้รับเหมาออก เหลือเพียงหลักเกณฑ์ที่เป็นคุณต่อผู้รับเหมาไว้ อาทิ ช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้เนื่องจากประสบอุทกภัย ใน 10 จังหวัด แต่สตช.กับใช้หลักการนี้เป็นสัญญาเดียวกันทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังไม่ปฏิบัติตามมติครม.วันที่ 7 สิงหาคม 2555 ข้อ 1.6 ที่ระบุว่า หากผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาและยังไม่เคยเข้ามาในทำงาน ในสถานที่ก่อสร้างดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันควร จนกระทั่งเกิดเหตุอุทกภัย ผู้รับจ้างไม่อาจของรับความช่วยเหลือได้ ยังคงให้ถือปฏิบัติตามเดิม ก็ไม่ต้องขยายสัญญาและยกเลิกสัญญาได้
"เหตุใดสตช.จึงไม่ยกยกเลิกสัญญา เพราะมีเหตุให้เชื่อได้ว่า ผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานได้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยหัวหน้าส่วนราชการสามารถบอกยกเลิกได้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2552 ข้อที่ 137 แต่กลับใช้ระเบียบข้อที่ 139 โดยการงดหรือลดค่าปรับให้กับคู่สัญญา ซึ่งเป็นเงินวันละ 5.8ล้านบาท ถือว่าเป็นคุณกับผู้รับเหมา" นายชูวิทย์ กล่าว
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี โดย นายศิริโชค ได้นำเอกสารการประมูล มาชี้แจงในที่ประชุม พร้อมถามว่า จากเอกสารที่มีตัวเลขการประมูลที่ไม่แตกต่างกันมากนัก จะมีการฮั้วประมูลได้อย่างไร
อีกทั้ง มีเอกสารที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในสมัยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ทำหนังสือขอความเห็นชอบโครงการจากการประมูลรายภาค รวบเป็นรายเดียว
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม ตอบกระทู้ด้วยถ้อยคำสาปแช่ง กลางสภา ว่า กลุ่มพวกใดที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ ขอให้เกิดแต่ความหายนะ พร้อมปฏิเสธว่าตนเองปกป้อง พล.ต.อ.พงศพัศ ว่าไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาโครงการ แต่ต้องให้ความเป็นธรรม เพราะจะกระทบต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
หลังจากนั้นนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อว่ากรณีดังกล่าวใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ร.ต.อ.เฉลิมจึงตอบว่าฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง และหากมีการฉ้อโกงจะมีการดำเนินคดีกับบริษัทที่รับเหมาด้วย
ที่รัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกและส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แถลง โดยจากหลักฐานที่ได้รับมาเป็นหนังสือด่วนที่สุด ที่ 001/2552 และ002/2552 เมื่อวันที่13 พ.ย. 2552 เป็นหนังสือที่ผู้สนใจร่วมประกวดราคารับเหมาก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน ได้ลงชื่อร่วมกันทั้งบริษัทและ หจก.8 บริษัท ในหนังสือผู้สนใจร่วมประกวดราคาได้ร่วมกันคัดค้านการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน 369 แห่งรวมถึงอาคารที่พักอาศัยที่ตำรวจ โดยระบุว่า "ถ้าหาก ตร.จะขออนุมัติเปลี่ยนแปลงนโยบายจากเดิมที่นายกฯ ได้ลงนามไว้แล้ว เป็นการจัดจ้างแบบรวมรายการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ 369 หลังเป็นสัญญาเดียว หรือการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย 163 แห่งเป็นสัญญาเดียวก็ตาม พวกข้าพเจ้าใคร่ขอความกรุณาจากนายกรัฐมนตรี โปรดอย่าได้ลงนามอนุมัติหรือเห็นชอบโดยเด็ดขาด" แต่การคัดค้านดังกล่าวไม่เป็นผลเพราะนายสุเทพ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะปฏิบัติราชการแทนนายอภิสิทธิ์ ได้ลงนามอนุมัติเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2552 เพื่อให้ ตร.เป็นหน่วยงานจัดจ้างก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนและที่พักอาศัยทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียว
อีกด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.) กิจการสภาฯ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่าคณะกรรมาธิการฯ ได้รับทราบถึงปัญหาการก่อสร้างบ้านพักขนส่งทหารบกที่ย้ายไปอยู่ที่บริเวณสะพานแดงพบว่า การก่อสร้างล่าช้า เพราะบริษัทที่ประมูลได้คือ บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ไม่สามารถสร้างได้เสร็จตามสัญญา แม้ว่ากรมขนส่งทางบกได้ต่อสัญญา ให้ถึงเดือนพ.ย.55 เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม แต่ก็สร้างได้เพียง 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงได้มีการยกเลิกสัญญา และอยู่ระหว่างการหาบริษัทรับเหมาใหม่ คาดว่าจะทำให้การก่อสร้างล่าช้าออกไป 4 เดือน
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ รองผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 2 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต กล่าวว่า ข้อสรุปเบื้องต้นการสอบปากคำหลายปาก ทำให้เห็นความชัดเจนถึงความเกี่ยวข้อง ในเรื่องดังกล่าวว่า ใครมีส่วนรับผิดชอบในช่วงใด ผ่านสายงานบังคับบัญชาการอย่างไร และมีเหตุผลใดที่เปลี่ยนแปลงการอนุมัติโครงการ โดยเฉพาะในส่วนของพล.ต.อ.ปทีปได้ให้การไว้ครบถ้วน และถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มีการเปลี่ยนรูปแบบเป็นประมูลแบบรวมสัญญาเดียว
“สำหรับกรณีที่พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ระบุว่าความล่าช้าของการก่อสร้างน่าจะมีที่มาจากปัญหาการบริหารสัญญานั้น ทุกประเด็นที่มีคำให้การต้องนำมาพิจารณา เพราะมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น ส่วนกลุ่มที่จะเรียกเข้าให้ข้อมูลเป็นกลุ่มต่อไปยังต้องรอการวิเคราะห์เอกสารและพิจารณาความจำเป็นก่อน เพราะบางประเด็นมีเอกสารหลักฐานชัดเจนถึงตัวบุคคลอยู่แล้ว”นายธานินทร์ กล่าวและว่าพนักงานสอบสวนได้รับการติดต่อจากพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ปลัดกระทรวงคมนาคม อดีตผบตร.ว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ก.พ.)เกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน ในเวลาประมาณ 09.30 น. เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องในฐานะที่หัวหน้าหน่วยงานช่วงที่มีการเสนอนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ลงนามอนุมัติสัญญาจัดจ้าง
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.เจตน์ มงคลหัตถี ที่ปรึกษา (สบ 10) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน ว่า วันนี้ได้นำเอกสารในการจัดซื้อจัดจ้างการทำทีโออาร์โครงการมาตรวจสอบ จากตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่มีในขณะนี้ เบื้องต้นยังไม่พบจุดใดที่เข้าข่ายว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกฉ้อโกงในกรณีนี้ ซึ่งคณะกรรมการได้ทำการตรวจสอบข้อมูลตั้งแต่ขั้นตอนการร่างทีโออาร์ การประกวดราคา ซึ่งต้องดูข้อมูลหลักฐานตั้งแต่เริ่มต้น การจะฉ้อโกงจะต้องมีเจตนาตั้งแต่ต้นหรือไม่ จะมาจับว่าตอนหลังทิ้งงานแล้วถือว่าฉ้อโกงคงไม่ได้ ในการทางกฎหมายจะเข้าข่ายกล่าวหาฉ้อโกงเราต้องกลับไปดูแต่แรกว่ามีจุดใดส่อเจตนาหรือไม่
ส่วนกรณีบริษัทผิดสัญญา ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จหรือทิ้งงานก็ต้องดำเนินการฟ้องแพ่ง ซึ่งคณะทำงานของตนยังไม่ตรวจสอบครอบคลุมจุดนี้ ทั้งนี้จะขอข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่ามีหลักฐานอะไรที่ระบุว่ากรณีนี้เข้าข่ายว่าเป็นการฉ้อโกง ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ สั่งการให้ตนตรวจสอบตามข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่มี ไม่ได้ให้ธงไว้ว่าต้องสรุปออกมาอย่างไร หากท้ายที่สุดเมื่อพยานหลักฐานครบถ้วนแล้วยังไม่พบว่าเข้าข่ายฉ้อโกง ตนก็จะสรุปไปอย่างนั้น ไม่ทำตามกระแสหรือแรงกดดันใด ทั้งนี้ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จะประชุมเพื่อพิจารณาพยานหลักฐานอีกครั้ง
CR: www.manager.co.th
เปิดบันทึกตร.ถึง พีซีซี เลิกสัญญาสร้างโรงพัก จ่ายค่าเสียหายย้อนหลัง
วันที่ 02 พฤษภาคม พ.ศ. 2556แล้วในที่สุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ก็มีมติยกเลิกสัญญาว่าจ้างบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ในวงเงิน 5,848,000,000 บาท
หลังจากที่มีปัญหาล่าช้า เสร็จไม่ทันระยะเวลานัดหมาย โดยเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา ตร.มีหนังสือด่วนที่สุดที่ ตช.0008.322/1661 ถึงบริษัท พีซีซี ระบุยกเลิกสัญญามีรายละเอียดดังนี้
ตามหนังสือที่อ้างถึง กรมบัญชีกลางขอทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประกอบการพิจารณากรณีบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ตามสัญญาจ้างตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1.ได้มีหนังสือที่ PCC-DC/NOO 0033/2556 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) เพื่อพิจารณาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ว่าจ้างปฏิบัติให้เป็นไปตาม ข้อกำหนดในสัญญาจ้างข้อ 20 การขยายระยะเวลาปฏิบัติงานตามสัญญา ความโดยละเอียดดังแจ้งอยู่แล้วนั้น
สํานักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว ข้อเรียนข้อเท็จจริงว่า 1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้บัญชาการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ทำการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ในวงเงิน 5,848,000,000 บาท ซึ่งประกอบด้วย งานก่อสร้างสถานีตำรวจภูธรขนาดใหญ่จำนวน 88 หลัง แต่ละหลังมี 13 งวด รวม 1,144 งวด สถานีตำรวจภูธรขนาดกลาง จำนวน 136 หลัง แต่ละหลังมี 10 งวด รวม 1,360 งวด และสถานีตำรวจภูธรขนาดเล็ก จำนวน 172 หลัง แต่ละหลังมี 9 งวด รวม 1,548 งวด รวมงวดงาน ตามสัญญาทั้งสิ้นจำนวน 4,052 งวด ระยะเวลาก่อสร้าง 450 วัน โดยกำหนดให้บริษัทต้องเริ่มทำงานในวันที่ 26 มีนาคม 2554 และต้องทำงานแล้วเสร็จครบถ้วน ตามสัญญาในวันที่ 17 มิถุนายน 2555
ต่อมาทางราชการผู้ว่าจ้าง ได้ขยายเวลาตามสัญญาให้กับบริษัทออกไปรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง เนื่องจากเหตุภัยธรรมชาติและตามมติคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ ครั้งแรกจำนวน 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันทำงานแล้วเสร็จในวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 ครั้งที่ 2 จำนวน 180 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันทำงานแล้วเสร็จในวันที่ 13 มกราคม 2556 และครั้งที่ 3 จำนวน 60 วัน ซึ่งครบกำหนดทำงานแล้วเสร็จในวันที่ 14 มีนาคม 2556
2.หลังจากลงนามในสัญญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานส่งกำลังบำรุง ได้ทยอยส่งมอบสถานที่ก่อสร้าง ให้กับบริษัทจนครบถ้วนแล้วทั้ง 396 แห่ง ส่วนใหญ่ได้ส่งมอบพื้นที่ ให้บริษัทในปีพ.ศ.2554 แห่งสุดท้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานส่งกำลังบำรุงได้มีหนังสือแจ้งให้ บริษัทมารับมอบพื้นที่ก่อสร้างสถานีตำรวจภูธรหนองฮี ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555 และในระหว่างการดำเนินงานตามสัญญา ทางราชการได้มีการแก้ไขแบบ รูปรายการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) รวม 6 แห่ง ได้แก่ สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ สถานีตำรวจภูธรเมืองน่าน ตำรวจภูธรจังหวัดน่าน สถานีตำรวจภูธรเกาะสมุย และสถานีตำรวจภูธรดอนสัก ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานีตำรวจภูธรเกษไชโย ตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทองและสถานีตำรวจภูธรเกาะสีชัง ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี
โดยบริษัทไม่เคยมีการโต้แย้งหรือทักท้วงในเรื่องการส่งมอบพื้นที่ในการก่อสร้างตำรวจภูธรแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ส่งมอบพื้นที่ให้แล้ว บริษัทก็ไม่ได้ทำการก่อสร้างหรือก่อสร้างล่าช้าเป็นอย่างมาก โดยหยิบยกเหตุความล่าช้าทางราชการในการส่งมอบพื้นที่มาเป็นเหตุขอขยายเวลาทำการตามสัญญา
3.ต่อมาทางราชการได้ตรวจสอบผลการตรวจการจ้างก่อสร้างอาคารตามสัญญาพบว่า แม้ทางราชการจะขยายเวลาทำการตามสัญญาให้แก่บริษัทไปจำนวน 3 ครั้ง แต่การทำงานก่อสร้างอาคารตามสัญญาเป็นไปด้วยความล่าช้า และยังไม่ได้ลงมือก่อสร้างสถานีตำรวจจำนวน 61 แห่ง ซึ่งทางราชการสามารถใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที ตามเงื่อนไขในสัญญาจ้างข้อ 6 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 137
แต่เนื่องจากโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง เป็นโครงการใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงให้โอกาสแก่บริษัทในการส่งมอบงานตามสัญญาให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในเวลาตามสมควร โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือแจ้งบริษัท ให้ส่งมอบงานที่แล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดตามสัญญา ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายในวันที่ 17 เมษายน 2556 หากพ้นกำหนดดังกล่าว บริษัทไม่สามารถส่งมอบงานที่แล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดตามสัญญา จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามเงื่อนไขในสัญญาและเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่สัญญากำหนดไว้โดยขอสงวนสิทธิเรียกค่าปรับ ค่าเสียหาย ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น จากการจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ให้ทำงานต่อจนงานเสร็จ และค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งขอสงวนสิทธิที่จะใช้สิทธิต่างๆ ตามเงื่อนไขในสัญญาต่อไป และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งไม่ขยายเวลาทำการตามสัญญาให้บริษัททราบ บริษัทจึงได้มีหนังสืออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ซึ่งจากการตรวจสอบผลการตรวจ การจ้างก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2556 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญา กลับพบว่าบริษัทยังไม่สามารถทำงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด มีผลงานดำเนินการก่อสร้างทั้งโครงการเพียงแค่ร้อยละ 12 เท่านั้น จาก ณ วันที่ 14 มีนาคม 2556 จำนวนร้อยละ 11 โดยเฉพาะการก่อสร้างอาคารที่มีปัญหาเกี่ยวกับการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างและการแก้ไขแบบรูปร่างการก่อสร้างดังกล่าว ก็ไม่มีผลงานก่อสร้างคืบหน้าแต่อย่างใด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ทำผิดเงื่อนไขสัญญาจ้างข้อ 8 โดยการเอาจ้างตามสัญญาไปจ้างช่วงอีกต่อหนึ่ง โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติผู้ว่าจ้าง อันทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย การที่ทางราชการผู้ว่าจ้างไม่อนุมัติขยายเวลาทำการตามสัญญาให้แก่บริษัท จึงเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบกฎหมายและสมเหตุ สมผลทุกประการ
4.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนว่าหลังจากลงนามในสัญญาจนถึงปัจจุบัน (นับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2554 ลงวันที่ 11 เมษายน 2556 รวมระยะเวลา 748 วัน) บริษัทลงมือทำการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) ไปแล้วจำนวน 335 แห่ง ยังไม่ได้ลงมือทำการก่อสร้างจำนวน 61 แห่ง
ต่อมาบริษัทได้ขอขยายเวลาทำงานตามสัญญาออกไปอีก 615 วัน โดยอ้างว่า ได้รับมอบสถานที่ก่อสร้างล่าช้า เนื่องจากมีการแก้ไขแบบรูปรายการของสถานีตำรวจภูธรเมืองน่าน ตำรวจภูธรจังหวัดน่าน และได้ขยายเวลาทำงานตามสัญญาออกไปอีก 649 วัน โดยอ้างว่าได้รับมอบสถานที่ก่อสร้างสถานีตำรวจหนองฮี ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ล่าช้า ซึ่งกรณีดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ขยายเวลาให้โดยแจ้งว่า บริษัทได้มีความตั้งใจจริงที่จะดำเนินการก่อสร้าง
ทั้งนี้ จากภาพข้อเท็จจริงในปัจจุบันส่อให้เห็นว่าบริษัทไม่มีความพร้อม ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้ประกอบกับตามสัญญาที่อ้างถึง 1 ข้อ 20 การขยายระยะเวลาปฏิบัติงานตามสัญญาอยู่ในดุลพินิจของผู้ว่าจ้างที่จะพิจารณาตามที่เห็นสมควร สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาจากข้อเท็จจริงทั้งปวงแล้ว
เห็นว่าไม่สมควรขยายระยะเวลาทำงานตามสัญญาให้บริษัทอีกต่อไป
CR: http://www.khaosod.co.th/
'ธาริต'ขึ้นศาลพร้อมคดี'สุเทพ'ฟ้องหมิ่นโรงพัก
ศาลนัดพร้อมคู่ความ คดีหมายเลขดำ อ.495/2556 ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และอดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ปฏิบัติราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีเมื่อวันที่ 21 ม.ค.- 4 ก.พ.56 นายธาริต แถลงข่าวกล่าวหานายสุเทพว่า เป็นผู้มีคำสั่งไม่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ 396 แห่ง ตามที่ สตช.เสนอ แต่กลับให้รวมสัญญาการจัดซื้อ จัดจ้าง เพียงรายเดียว ทำให้บริษัท พีซีซี ดิเวลล็อปเม้นท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล จนเกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ จำเลย ได้เดินทางมาร่วมกระบวนพิจารณาคดี ส่วนโจทก์ มีนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ เดินทางมาศาล
ขณะที่นายสวัสดิ์ ทนายความโจทก์ ได้แถลงบัญชีพยานต่อศาล จะสืบพยานรวม 10 ปาก โดยใช้เวลา 8 นัด ฝ่ายจำเลย แถลงขอนำสืบพยานต่อสู้คดี รวม 10 ปากเช่นกัน แต่จะใช้เวลา 4 นัด พร้อมทั้งขออนุญาตศาลที่จะสืบพยานลับหลังจำเลยด้วย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้มีอัตราโทษจำคุกไม่ถึง 10 ปี จึงอนุญาตให้สืบพยานลับหลังจำเลยได้ โดยให้โจทก์ - จำเลย นำสืบพยานได้ตามที่แถลง และกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ในวันที่ 2 ก.พ.58 เวลา 09.00 น.
ภายหลังนายธาริต อดีตอธิบดี ดีเอสไอ กล่าวว่า ไม่รู้สึกหนักใจอะไรกับคดีความซึ่งที่ผ่านมาถูกฟ้องหลายคดี โดยยืนยันว่าได้ปฎิบัติไปตามหน้าที่ และมั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรม อย่างไรก็ดีคดีก่อสร้างโรงพักทดแทนที่มีปัญหาขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว
เมื่อถามถึงกระแสข่าวอาจจะมีข้าราชการตำรวจ มาดำรงตำแหน่ง อธิบดีดีเอสไอคนใหม่แทนนั้น นายธาริต กล่าวว่า ไม่ขอออกความเห็นใด ๆ เพราะตนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว
ด้านนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ โจทก์ กล่าวว่า นอกจากนายสุเทพแล้ว พยานสำคัญที่เตรียมไว้เบิกความคดีนี้ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ขณะที่คดีหมิ่นประมาท ฯ จากกรณีเดียวกันที่นายสุเทพ ได้ยื่นฟ้องนายธาริต อดีตอธิบดีดีเอสไอ และสื่อมวลชน คดีหมายเลขดำ อ.1940/2556 นั้น นายสวัสดิ์ ทนายความของนายสุเทพ กล่าวว่า ขั้นตอนยังอยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ซึ่งศาลอาญา นัดไต่สวนอีกครั้งในวันที่ 7 ก.ค.นี้ โดยนายสุเทพ โจทก์ จะมาเบิกความด้วยตัวเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีหมายเลขดำ อ.1940/2556 นั้น นายสุเทพ ได้ยื่นฟ้อง นายธาริต อดีตอธิบดี ดีเอสไอ , บริษัท มติชน จำกัด ( มหาชน) , นายวรศักดิ์ ประยูรศุข บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา , บริษัทข่าวสด จำกัด และนายสุริวงศ์ เอื้อปฏิภาณ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา เป็นจำเลยที่ 1- 5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 จากกรณีเมื่อวันที่ 27 ก.พ.- 5 มี.ค.56 นายธาริต แถลงข่าวกล่าวหา นายสุเทพ ขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ในการทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 หลัง
CR: bangkokbiznews.com
บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
เดิมชื่อ พิบูลย์คอนกรีต เพราะประกอบธุรกิจ ขายวัสดุก่อสร้าง และเมื่อมีเครือข่ายสายสัมพันธ์กว้างขวางกับแวดวงการเมืองก็ รับเหมาก่อสร้าง กลายเป็น บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้เป็นผู้รับเหมา แต่เพียงผู้เดียว ที่รับงานสร้าง 396 โรงพักทั่วประเทศในสมัยประชาธิปัตย์จับมือกับภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลจัดงบ ไทยเข้มแข็ง ให้สร้างที่ทำการสถานีตำรวจใหม่ 396 แห่ง ตอนแรก ว่าแบ่งกระจายกันออกไป ให้เปิดประมูลกันตามภาคต่างๆ 10 กองบัญชาการ แต่ตอนหลังอนุมัติใหม่ให้รวบเป็น รายเดียว !
พิบูลย์ทราย หรือบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ในปัจจุบัน จึงได้งานก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ วงเงิน 5,848 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการสร้างอาคาร 2 ชั้นบ้าง 3 ชั้นบ้าง 396 แห่งแล้ว น่าสนใจ ไทยเข้มแข็ง
แต่ด้วยตรรกะง่ายๆ ซึ่งใครๆ ก็คิดได้
การก่อสร้างที่ทำการโรงพัก 396 แห่ง ตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุด บริษัทเดียว จะทำทันได้อย่างไร !?
ลางร้ายความล้มเหลวจึงมีให้เห็นตั้งแต่ต้น มีมาตั้งแต่สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จากที่เคยเห็นชอบให้กระจายกันไปทำตามรายภาค มาเป็นอนุมัติให้ บริษัทเดียว สร้างทั่วประเทศ
กำหนดจะต้องแล้วเสร็จ 17 มิถุนายน 2555 จึงไม่เสร็จ
โรงพักเดิม 166 แห่งถูกรื้อทิ้งไปเสียเฉยๆ โรงพักใหม่ก็ยังไม่ได้ลงมือก่อสร้าง ตำรวจไม่มีที่ทำงาน อีก 200 กว่าแห่งมีแค่เสาโผล่ขึ้นมา
มีการอ้างว่าขาดเงินทุนหมุนเวียน แต่ความจริงที่ยังไม่รู้กันทั่วไปก็คือ ก่อนจะลงมือทำงาน บริษัทได้เบิกเงินล่วงหน้าไปใช้หมุนเวียนถึง 850 ล้านบาท จากนั้นภายใน 50 วัน ถ้างานเสร็จงวดแรก บริษัทยังเบิกได้อีกกว่า 400 ล้านบาท
เงื่อนไขงามขนาดนี้ยังดีไม่พอ !?!!
บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด หรือ PCC DEVELOPMENT AND CONSTRUCTION CO.,LTD จดทะเบียน 21 ธันวาคม 2548
ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 500,000,000 บาท ตั้งอยู่ที่ 292/1 ถนนเชียงใหม่-ลำปาง ตำบลป่าตัน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50300 ประเภทธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง (45000)
กรรมการบริษัท 2 คนคือ นาย วิศณุ วิเศษสิงห์ นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ผู้ถือหุ้นใหญ่คือ นายพิบูลย์ 250 ล้าน นายวิศณุ 200 ล้านและนาย จตุรงค์ อุดมสิทธิกุล 50 ล้าน
ทั้งนี้ เดิม บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ เคยจดทะเบียนในชื่อ บริษัท กิจการร่วมค้าพีซีซี เมื่อปี 2548 ก่อนเปลี่ยนแปลงชื่อในปี 2550 จดทะเบียนครั้งแรก ทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท ก่อนเพิ่มทุนเป็น 500 ล้านในปี 2549
บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ฯ มีสินทรัพย์ปี 2550 กว่า 2,127.9 ล้าน ปี 2554 สินทรัพย์ เพิ่มเป็น 3,350 ล้าน ขณะที่หนี้สิน ปี 2550 1,616 ล้าน ปี 2554 หนี้เพิ่มเป็น 2,888 ล้าน อย่างไรก็ตาม บริษัทดังกล่าวขาดทุน ตั้งแต่ปี 2552 ขาดทุน 70 ล้าน ปี 2553 ขาดทุน 50 ล้านและปี 2554 ขาดทุน 37 ล้าน
บริษัทที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย บริษัท เคแอลที พรอบเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท พิบูลย์คอนกรีต จำกัจ บริษัท พี.ซี.ซี. เซอร์วิส จำกัด บริษัท พีซีซี โพสเทนชั่น จำกัด บริษัท พีซีซี เอสเตท จำกัด บริษัท ร่มหลวง รับเหมา จำกัด บริษัท ราชบุรี พี.ซี.ซี. จำกัด บริษัท ล้านนาวิศวกรรมและธุรกิจ จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามดิษฐ์ บริษัท เสริมทรัพย์ไพบูลย์ จำกัด บริษัท เสริมสุขไพบูลย์ จำกัด บริษัท เอ็กซ์เปิร์ท บิลด์ จำกัด
ข้อมูล มติชน เหยี่ยวถลาลม / กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์
CR: http://www.matichon.co.th/
ศาลยกฟ้องคดีพระสุเทพฟ้องอดีตอธิบดี ดีเอสไอ หมิ่นประมาท กรณีสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง
ศาลอาญารัชดา มีคำสั่งยกฟ้องในคดีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ พระสุเทพ ปภากโร อดีตเลขาธิการ กปปส. และอดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กับพวก เป็นจำเลยที่ 1-5 จากกรณีเมื่อวันที่ 27 ก.พ. - 5 มี.ค. 2556 นายธาริต จำเลยที่ 1 ได้แถลงข่าวกล่าวหาโจทก์ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำเรื่องของเปลี่ยนแปลงโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 โรงพัก จากรายภาครวมเป็นรายเดียวซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นข้อความเท็จทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยศาลพิเคราะห์ แล้วเห็นว่า โจทก์ในขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ก่อสร้างโรงพักทดแทนให้กระจายตามรายภาค ซึ่งโจทก์กลับไม่ดำเนินการตามมติ ครม. ดังกล่าว และจำเลยในขณะนั้นเป็นอธิบดี ดีเอสไอ มีหนัาที่ทำการสืบสวนข้อเท็จจริง
ตามข้อร้องเรียน คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและเมื่อพบการกระทำทุจริต ก็ได้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. เป็นการทำตามหน้าที่
ของเจ้าพนักงาน ไม่เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น